วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

แค้นวิปริต จิตสั่งกาม : ตอนที่17 เกมของณัฐ

ตอนที่17 เกมของณัฐ
.
.
.
“เอ้า กินไปเยอะ ๆ”


หลังโรงเรียนมีมุมหนึ่งที่เต๋อจะต้องหมั่นแวะเวียนเยี่ยมเพื่อนตัวน้อยเป็นกิจวัตรมันคือลูกสุนัขพันธุ์ทางขนสีน้ำตาลที่บังเอิญหลงเข้ามาในโรงเรียนไม่มีใครสนใจว่ามันจะกินนอนมีความเป็นอยู่อย่างไรเท่าไหร่นักแต่นับว่ายังดีที่มีคนแบ่งอาหารให้ไม่ขาดช่วงไม่ว่าจะเป็นแม่ค้าในโรงอาหารหรือนักเรียนหญิงที่ชอบแบ่งเศษขนมให้เป็นทาน จะสงเคราะห์ด้วยความเมตตาก็ดีหรือเพลิดเพลินกับการโยนอาหารให้มันงับกินก็ดีก็ทำให้เจ้าตัวน้อยมีชีวิตรอดมาได้แม้อยู่ในวัยกระเตาะกระแตะ


“แกอยู่ตัวเดียวไม่เหงาบ้างเหรอ” เต๋อคุยไปด้วยพลางลูบหัวลูกหมาที่กำลังเคี้ยวเนื้อไก่ย่าง


“อ้าว ไอ้เต๋อ มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ เล่นกับหมาเหรอ” ไม้ในชุดบาสเกตบอลโผล่มาขัดจังหวะพอดี “ไปเล่นบาสกับกูสิเดี๋ยวจะสอนต่อจากเมื่อวาน วันนี้ซ้อมเลย์อัพนะ”


“เอาสิ. . . งั้นฉันไปก่อนนะไอ้หมาน้อย” เต๋อลุกถอดเสื้อนักเรียนเหลือเพียงเสื้อยืดด้านในให้ทะมัดทะแมงเหมาะกับเล่นกีฬา

สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เต๋อระบายความเครียดได้อยู่บ้างก็คือกีฬาบาสเก็ตบอลไม้สอนเทคนิคบาสให้เต๋อติดตัวไว้เขาเน้นย้ำอยู่เสมอว่าเต๋อควรจะมีทักษะกีฬาติดตัวไว้บ้างเพื่อไม่ให้ดูอ่อนแอและเข้าสังคมได้แม้สังคมที่นี่อาจบรมห่วยสำหรับเต๋อแต่เมื่อวันใดที่เต๋อย้ายไปอยู่โรงเรียนอื่นแล้ว ความสามารถนี้จะเป็นทุนให้เขามีทักษะสังคมที่ดีหาเพื่อนใหม่และเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ง่าย เต๋อเอาจริงเอาจังกับการซ้อมนี้มากส่วนหนึ่งเป็นเพราะเชื่อในคำพูดของไม้แต่อีกส่วนที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือเขารู้สึกสบายใจและอบอุ่นที่เมื่อยามได้อยู่ใกล้ไม้

จะอย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปได้ไม่นานนักหลังจากไม้ขึ้นรับตำแหน่งจตุรเทพโพดำประจำรุ่น 40 ด้วยเหตุผลว่าเป็นมีความสุขุมและเปี่ยมบารมีเชื่อถือได้ สามารถปกครองนักเรียนหมู่มากได้ดีที่สุดจากนั้นเขาก็ต้องผันตัวไปเป็นผู้ดำเนินกิจต่าง ๆ ทั้งงานหลวงงานราษฎร์ตั้งแต่งานภายในเช่นจัดกีฬาสีหรือกิจกรรมออกร้าน ไปจนถึงงานภายนอกเช่นเป็นตัวตั้งตัวตีรวมกลุ่มตระเวนราตรี ค้างคืนตามที่ต่าง ๆอาจดูเป็นเรื่องธรรมดาสามัญสำหรับคนที่โตแล้ว แต่สำหรับเด็กวัยมอสามการแหกกฎโรงเรียนและกฎที่บ้านนั้นล้วนเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความกล้าบ้าบิ่นนอกจากนี้ยังมีการวางแผนกลั่นแกล้งครูที่นักเรียนลงความเห็นว่าเหม็นขี้หน้าจนไม่สามารถอยู่ในโรงเรียนต่อไปได้ไปจนถึงไกล่เกลี่ยตัดสินข้อพิพาทกรณีชกต่อยกันระหว่างโรงเรียน


เมื่อมีเรื่องที่ต้องทำเพิ่มขึ้นมากมายขนาดนี้เวลาที่มีให้เต๋อจึงหรอยหรอลง นอกจากภูมิที่บ้าคลั่งกับส่งผลงานประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ประหลาดๆ แล้ว เต๋อก็มีเพียงลูกหมานิรนามเท่านั้นที่คอยอยู่เป็นเพื่อนหลังเลิกเรียน


เมื่อตกเย็นเต๋อจะนั่งมองแป้นบาสอย่างเหม่อลอยเฝ้าคอยว่าไม้จะมาหาเมื่อไหร่ แม้บางครั้งจะหัดชู้ตบาสเองคนเดียวแต่ก็ให้ความรู้สึกไม่เหมือนเก่าก่อน


บางครั้งพิษเหงากัดกร่อนลึกในใจจนน้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ คนเดียวลูกหมาสีน้ำตาลได้แต่ครางงี๊ด ๆ กระดิกหางปลอบใจ แม้ว่าจะช่วยอะไรไม่ได้มากก็ตาม
เมื่อความคับคั่งใจสั่งสมจนยากจะเก็บซ่อนไว้ในที่สุดวันหนึ่งก็ต้องเปิดเผย
เต๋อดักรอพบไม้ในห้องน้ำ. . . เขาเปิดฉากตัดพ้อ


“ไม้ ช่วงนี้ยุ่งมากเลยเหรอ ไหนเคยสัญญาว่าจะมาซ้อมเพิ่มให้ไง”


“. . . .”


“ดีใจด้วยนะ เป็นโพดำแล้ว เหมือนเป็นฮีโร่ประจำรุ่นเลย”


“ขอบใจ. . .” ไม้แก้เก้อด้วยการทำเป็นส่องกระจก


“ไม้ไม่มีอะไรจะพูดกับผมเลยเหรอ”


เสียงตอบรับคือความเงียบ


“ผมทำอะไรให้ไม้ไม่สบายใจ. . .” แล้วไม้ก็แทรกขึ้นมาทันที“เมื่อไหร่มึงจะเลิกเซ้าซี้คนอื่นวะ!”
.
.
เต๋อหลบตา
.
.
“กูไม่ชอบให้ใครมาเซ้าซี้อย่างนี้นะเว้ย!ไม่มีเพื่อนเล่นมึงก็ไปหาเล่นที่อื่น ไม่ก็ไปหาอย่างอื่นทำดิ!”
.
.
“ถามจริง! ขาดกูแล้วลงแดงรึไง? นี่ถ้ากูตายมึงจะฆ่าตัวตายตามไหมเนี่ยทำไมมึงเป็นแบบนี้วะ”
.
.
เนื้อตัวของเต๋อชาและสั่นเทาความรู้สึกเย็นเฉียบไหลเวียนไปมาในร่างจนหายใจไม่ทั่วท้อง


“เพราะเราชอบไม้”
.
.
.
.

“โว้ยยยยยยยยยยยย! บอกรักกันแล้วโว้ย!” กลุ่มเพื่อนผู้ชายที่แอบฟังอยู่ข้างห้องน้ำเผยตัวออกมาด้วยเสียงอันดัง

“กูชนะ เอามาเลยร้อยนึง บอกแล้วว่าไอ้เต๋อแม่งจิต ตุ๊ดแหง ๆ”แจ็คแบมือทวงเงินจากเพื่อนที่แพ้พนัน


“ไอ้แจ็ค มึงน่ะเสือกเสียงดังขึ้นมาก่อนยังไม่ทันรู้เลยว่าตกลงไอ้ไม้ตอบรับมันมั้ย” เพื่อนอีกคนแย้งท่ามกลางเสียงผิวปากโห่ร้องลิงทะโมน


“นี่พวกมึงเล่นไรกันวะ” ไม้เขม็งใส่ให้รู้ว่าไม่ใช่เรื่องตลก


“ก็กูเห็นมึงสองคนแอบมานัดทำไรกันในห้องน้ำ พากันมาโม้คควยเปล่าวะ”เพื่อนคนหนึ่งตอบ


“เขาจู๋จี๋ซ้อมบาสด้วยกันนานแล้วโว้ย ตกข่าวแล้วพวกมึง”


“จตุรเทพเกย์คนแรกถือกำเนิดขึ้นแล้ว”


“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ”
.
.
.
.
“ปัญญาอ่อน!” ไม้เตะอัดเข้ากลางท้องเต๋อ “โอ๊ย!” บอกไม่ได้ว่าคำสบถของไม้หรือเสียงร้องจากเต๋อกันแน่ที่ทุกให้พวกผู้ชายสะดุ้งเงียบ


“อย่างกูเนี่ยนะจะชอบมัน! ไอ้หนอนพยาธิอ่อนแอ!เก่งจริงมึงลุกขึ้นมาต่อยกูคืนเลย!” ไม้ระดมตีนใส่เต๋อเต็มเหนี่ยวขณะที่อีกฝ่ายทำได้เพียงห่อตัวป้องปิดใบหน้าและจุดสำคัญ


“ถ้าโลกนี้มันโหดร้ายจนใช้ชีวิตลำบากนักละก็! มึงไปตายซะไป๊!”


แจ็คมองเต๋อที่ดิ้นพราดไปมาอย่างหวาดหวั่นระคนสังเวชนี่เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูก็คงได้ ว่าไม้ไม่ใช่คนที่จะหลู่เกียรติกันได้ง่าย ๆ


“พวกมึงก็เหมือนกัน! อย่าล้อเล่นกับกูอย่างนี้อีก! กูเอาจริง!นอกจากไอ้แทนแล้วทั้งห้องใครจะต่อยชนะกูได้!” ไม้ตาขวาง “หรือมึงจะเอา?” เขาจ้องไปทางแจ็ค


“เห้ย แหย่เล่นนิดเดียวน่า เพื่อนกันทั้งนั้น” แจ็คเข้าไปตบไหล่ปลอบให้ไม้ใจเย็น “เดี๋ยวเอาตังค์ที่ได้เลี้ยงเบียร์ขวดนึงหายกันเนอะ?”


“สัตว์!” ไม้ปัดมือแจ็คออกแล้วเดินออกจากห้องน้ำก่อนพ้นประตูเขาทิ้งข้อความกับเต๋อที่แน่นิ่งไม่ปริปากใด ๆ


“อย่ามายุ่งกับกูอีก กูเกลียดคนอ่อนแอ”
.
.
หลังจากนั้นเต๋อก็หัดบาสคนเดียวมาตลอดมีคนให้กำลังใจบ้างก็เพียงลูกหมานิรนามที่เฝ้าอยู่เป็นเพื่อนและทิพย์ที่แวะมาส่งน้ำให้เป็นครั้งคราว
.
.
“ฉันขอแม่ได้แล้วนะ ถ้าจบจากที่นี่เมื่อไหร่ฉันจะย้ายบ้านย้ายโรงเรียน แล้วจะเอาแกไปอยู่ด้วย” เต๋ออุ้มลูกหมาขึ้นมาเล่น“ถึงตอนนั้นจะตั้งชื่อให้นะ. . .รอก่อนล่ะ”
.
.
.
วันคืนอันโหดนรกผ่านไปวันแล้ววันเล่าเต๋อตั้งตารอคอยเวลาที่จะได้เริ่มชีวิตใหม่ อาจกล่าวได้ว่า ยังมีลมหายใจอยู่เพื่อให้วันนั้นมาถึงแค่นั้นจริงอยู่อาจเป็นการตัดสินใจผิดพลาดของทิพย์ที่ดันทุรังให้ลูกชายได้เข้าศึกษาในโรงเรียนที่พรั่งพร้อมเกินฐานะจนกระทั่งประสบปัญหาภาษีสังคมและการกลั่นแกล้งต่าง ๆ แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอแม้แต่ละวันคืนของลูกชายจะผ่านพ้นไปอย่างทุลักทุเลการเรียนการสอนที่ทันสมัยของโรงเรียนนี้หล่อหลอมให้เต๋อฉลาดอ่านออกเขียนคล่องเกินกว่าเด็กข้างบ้านที่มีฐานะใกล้เคียงกันเขาเริ่มทำความเข้าใจกับคำอธิบายที่ซับซ้อนเป็นนามธรรมได้หนังสือในห้องสมุดที่เขาเลือกหยิบขึ้นมาอ่านเป็นพิเศษมักเป็นหนังสือที่เพื่อนวัยเดียวกันไม่ค่อยสนใจจำพวกจิตวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ และปรัชญาต่าง ๆนอกจากนี้แล้วก็ยังหัดเล่นบาสด้วยตัวเองต่อไปด้วยความเชื่อว่าจะทำให้เขาได้ระบายความเครียดที่สั่งสมอยู่ในใจผ่านกีฬาซึ่งก็ช่วยได้พอสมควร กลับบ้านกินอิ่มนอนหลับ
จนกระทั่งวันหนึ่ง


ในเวลาพลบค่ำวันศุกร์ หลังจากที่เต๋อซักซ้อมบาสเสร็จเขาได้ยินเสียงร้องหนึ่งซึ่งคุ้นเคยดี


“เอ๋งงงงงงงงงงงง”


ลูกหมา? เกิดอะไรขึ้น!?


.
.
เด็กหนุ่มเร่งรุดไปหาต้นเสียงซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลลูกหมานิรนามตกตะเกียกตะกายกลางบ่อน้ำลึกหลังโรงเรียนน่าแปลกที่ปกติลูกหมาตัวนี้จะไม่มาวิ่งเล่นบริเวณนี้เพราะมีแมวอ้วนเจ้าถิ่นห่วงเขตแดนยิ่งชีพไม่ยอมให้สัตว์ตัวเล็กกว่ามันเข้ามาเดินยุ่มย่ามจะอย่างไรก็ตามนี่คงไม่ใช่เวลามาขบคิดหาสาเหตุ


“เอ๋งงงงงงงงงงงงงงงง” เจ้าลูกหมาร้องขอความช่วยเหลือด้วยเสียงดังกังวาลแต่ช่วงเวลานี้แทบไม่เหลือใครอยู่ในโรงเรียนแล้วนอกจากยามหรือเจ้าหน้าที่บางคนซึ่งก็กระจายไปตามตำแหน่งต่าง ๆในโรงเรียนกว้างใหญ่เช่นนี้ต่อให้วิ่งตามหาก็ต้องใช้เวลา
เขาตัดสินใจวิ่งขึ้นสระว่ายน้ำเผื่อจะมีคนที่ว่ายน้ำอยู่และขอให้ช่วยได้ เพราะเต๋อว่ายน้ำไม่เป็น


โชคร้ายที่ไม่มีใครอยู่เลย แต่ภาวะคับขันเช่นนี้แสงเทียนย่อมเห็นเด่นชัดท่ามกลางความมืดสายตาเขาบังเอิญเหลือบเห็นห่วงยางชูชีพสำหรับที่มีคนใช้แล้วลืมเก็บพอดีถ้าเป็นอย่างนี้ก็อาจแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้
.
.
แต่. . .
.
.
“เผี๊ยะ!” มือที่กำลังจะเอื้อมหยิบอุปกรณ์ช่วยชีวิตถูกตีด้วยด้ามไม้ยาว


“จะเอาไปทำอะไร นี่ไม่ใช่ของชมรม” ไม้ดึงห่วงกลับมาไว้ในมือตนที่ว่าไม่ใช่ของชมรม ก็คือเป็นของส่วนตัวที่เขาใช้สอนเด็กว่ายน้ำ


“ของไม้เหรอ! ยืมหน่อย ลูกหมาตกบ่อน้ำ!”


“ทำไมมึงไม่ว่ายไปช่วยเองละ”


“เราว่ายน้ำไม่เป็น ขอยืมเถอะ หรือไม่ก็ไม้ลงไปช่วยก็ได้ ขอร้องละ!”


“มึงนี่มีปัญหาทุกอย่างกับชีวิตเหลือเกินนะหัดเอาตัวรอดโดยไม่ต้องรบกวนคนอื่นได้ไหม”


ยิ่งต่อล้อต่อเถียงนานเท่าไหร่ก็ดูจะไม่เป็นการดีสำหรับชีวิตที่รอความช่วยเหลือ“จะด่าจะชกเรายังไงก็ได้ ไปช่วยหมาก่อน ได้โปรดเถอะ!”เต๋อร้องไห้และพนมมือกราบไม้โดยอัตโนมัติ ชีวิตของเพื่อนตัวน้อยมีค่ากว่าการยึดติดศักดิ์ศรีนี้แต่ผิดคาด ไม้เป็นคนไม่ชอบเห็นอากัปกิริยาเรียกร้องความเห็นใจในวิธีทำนองนี้โดยเฉพาะหากผู้ชายเป็นคนทำให้ดูต่อหน้า


“ยังไม่เลิกทำตัวอ่อนแอให้คนเขาสมเพชอีกนะที่กูสอนมึงให้หัดกีฬาเนี่ยไม่ทำให้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้างเรอะ”


“ฮืออออ อย่าเพิ่งพูดเลย ช่วยหมาเราด้วย”


ไม้ก้มมองเต๋อที่หมอบแทบเท้าอย่างครุ่นคิด


“เอาสิ”
.
.
เขาปล่อยลมห่วงยางออกแล้วโยนทิ้งไว้ให้เต๋ออยากจะร้องลั่นแต่ก็พูดไม่ออกเมื่อเห็นห่วงค่อย ๆ ฟีบลงจนแบนราบและก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถเป่าคืนกลับสภาพเดิมได้ด้วยกำลังตนเองในเวลาอันสั้น


“คนอย่างมึงนี่มันเกิดมาเพื่อสร้างปัญหาจริง ๆ ว่ะหัดแก้เองซะบ้างนะ”

.
.
.
เมื่อเต๋อกลับไปจุดเดิมอีกครั้ง ไม่มีวี่แววของลูกหมาอีกแล้ว
.
.
เขาได้แต่หวังว่าคงจะมีใครสักคนผ่านมาเห็นและช่วยมันไว้ได้ทันท่วงที
.
.
.
.
.
คำตอบถูกเฉลยขึ้นในเช้าวันจันทร์
.
.
.
.
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!” ครูและนักเรียนมองเต๋อที่ตะโกนลั่นจนทุกคนต้องหันเป็นสายตาเดียว


ซากลูกหมาลอยอืดบวมเป่งชิดมุมบ่อน้ำมุมหนึ่งเสียงหวี่แมลงวันที่บินตอมร่างยิ่งตอกย้ำความสิ้นหวังหดหู่
.
.
“ปล่อยผม!!”


อารมณ์ขาดสติสั่งให้เต๋อตั้งท่าลุยลงบ่อทั้งที่ตัวเองก็ว่ายน้ำไม่เป็นครูวิไลและครูผู้ใหญ่อีกท่านช่วยกันรั้งตัวเต๋อไม่ให้ลงไปเก็บซากลูกหมาที่จริงหากเต๋อไม่พบก็ยังไม่มีใครสังเกตเพราะเป็นมุมอับสายตา


“ปล่อยผม ฮืออออออ!”


“ตั้งสติหน่อย! มันตายแล้ว เธอช่วยอะไรมันไม่ได้แล้ว! เดี๋ยวครูให้ภารโรงช้อนขึ้นมาให้”ครูวิไลกล่าว
.
.
ไม้ผ่านมาอยู่ในเหตุการณ์พอดีเนื่องจากสงสัยว่ามีคนมุงดูอะไรบางอย่างเนืองแน่น
.
.
ทันทีที่ทั้งสองพบเจอ เต๋อกัดฟันกรอดทั้งน้ำตาใช้นิ้วชี้ให้ไม้เห็นผลลัพธ์ของสิ่งที่เขาจงใจให้เกิดขึ้น
.
.
ดูเหมือนว่าไม้ก็เข้าใจดีว่าเต๋อรู้สึกอย่างไรกับเขาแต่ก็ไม่ใช่สาระสำคัญเพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตสำหรับไม้


“โธ่เอ้ย นึกว่าไร แค่หมาตัวเดียวทำเป็นเจ้าน้ำตา. . .”
.
.
“. . .คนอ่อนแอ”
.
.

ความรักครั้งแรกและสัตว์เลี้ยงตัวแรกปิดฉากลงพร้อมกัน
จริงอย่างที่ไม้พูดบางทีผมอาจจะเป็นคนอ่อนแอ

แต่คงไม่ใช่เพราะอารมณ์อ่อนไหวเปราะบาง ผมกระด้างขึ้นพอ ๆกับไม้น่ะแหละ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ


ความอ่อนแอที่ว่าหมายถึงตัวผมไม่สามารถละวางจากความพยาบาทได้ต่างหาก


และผมจะเดินหน้าต่อไป. . . จนกว่าจะล่าพวกมันครบทุกคน
.
.
.
“ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง!”


“ ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ!”


“ฉ่าง ฉ่าง ฉ่าง ฉ่าง !”
.
.
หืมห์. . . นี่มันเสียงบ้าที่ไหนอีกกระหึ่มจนหัวใจจะหลุดออกมาให้ได้ ผมอุตส่าห์อาฆาตคนในความฝันอยู่เพลิน ๆปาไปตีหนึ่งแล้วใครยังจะเฉลิมฉลองเฮลั่นจนผมต้องตื่นขึ้นมา
.
.
เสียงลำโพงชั้นดีกับมารยาทสังคมชั้นเลวแบบนี้ คงเป็นอื่นใดไม่ได้นอกจาก“หลังเดิม”
.
.
.
ผมเดินออกไปหน้าบ้านทั้งเสื้อกล้ามขาสั้นไปดูซิว่าเกินอะไรขึ้นกันแน่
.
.
เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทันทีแม่บ้านบัวยืนหน้าบอกบุญไม่รับในสภาพง่วงเหงาหาวนอน


“คุณเตอร์ก็นอนไม่หลับหรือคะ” เป็นคำถามที่ฟังดูแปลกๆ ถ้าหลับลึกแล้วจะมาสถิตอยู่ต่อหน้าเธอได้อย่างไรเอาเถอะมันก็คงเป็นการทักทายที่ไม่หวังคำตอบตามรูปคำถาม
.

“ปาร์ตี้กันอีกแล้วเหรอครับ”

“ใช่ค่ะ เลี้ยงสละโสด วันมะรืนจะแต่งกันแล้ว” เธอตอบพร้อมป้องปากหาว


บ้านถัดจากผมไปสองหลังเป็นของลูกชายผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง เขาอายุราวสามสิบแยกตัวจากครอบครัวใหญ่ออกมาทำธุรกิจของตัวเองตระกูลนี้จัดว่าร่ำรวยอยู่ทีเดียวเชียวแต่ความเกรงใจอันเป็นหนึ่งในคุณสมบัติผู้ดีคงใช้เงินซื้อกันไม่ได้จริง ๆทุกครั้งที่เขาพาแฟนสาว ชู้บ้านเล็กบ้านน้อยหรือเพื่อนฝูงมาจัดปาร์ตี้ริมสระหน้าบ้านก็จะเปิดเครื่องเสียงสนั่นลั่นซอยราวกับไซเรนเตือนให้หลบเครื่องบินทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกจะเข้าพิธีวิวาห์กันอยู่รอมร่อ แทนที่จะหากิจกรรมที่เป็นมงคลต่อชีวิตคู่กลับสร้างความเดือดร้อนแก่เพื่อนบ้านไม่สร่างซา


ผมใช้โทรจิตตรวจสอบรอบบริเวณ พบว่ามีอีกหลายชีวิตที่ยังนอนไม่หลับอาจเพราะไม่อยากมีเรื่องกับบ้านหลังนั้น หรือไม่ก็คิดว่าปล่อยไว้เดี๋ยวก็จบ ๆไปเอง.
.
.
จากการพูดคุยกันจึงทราบว่าคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายของแม่บ้านบัวยังคงไม่กลับจากธุระต่างประเทศซึ่งผมคิดว่านานขนาดนี้อาจจะเสียชีวิตทั้งคู่ไปแล้วก็ได้ อย่างไรก็ตามทำให้แม่บ้านบัวต้องรับภาระดูแลลูกชายของสามีภรรยาคู่นั้นซึ่งเด็กต้องไปโรงเรียนแต่เช้าแล้วต้องมาเผชิญกับมลภาวะทางเสียงกลางดึกขนาดนี้ย่อมไม่เป็นการดีแน่นอน
.
.
ผมตัดสินใจไปขอความร่วมมือให้บ้านนั้นเบาเสียงลดพร้อมกับน้าบัว


แต่เมื่อไปถึงก็พบว่ามีคนตัดหน้าก่อนแล้ว
.
.
คุณรปภ. นี่เองที่กำลังเจรจากับคนในบ้านหลังนั้นคงจะได้รับโทรศัพท์จากสมาชิกหมู่บ้านทั้งหลายให้ช่วยจัดการให้เรียบร้อยโดยที่ตัวเองขอซุกหัวหลบอยู่ในบ้านโยนภาระให้เป็นหนังหน้าไฟชัด ๆ
 
.
.
“โธ่พี่ ผมไม่ได้บอกว่าให้เลิก แต่ช่วยเบาเสียงหน่อย บ้านอื่น ๆเค้าบอกผมมา”


“ไหน! มึงพามาเลย ไอ้หน้าไหนสั่งกู! เดี๋ยวแม่งเจอเหนี่ยว! เอิ๊ก!”ชายเจ้าของบ้านสวมกางเกงขาสั้นตัวเดียวออกมายืนเอ็ดทั่วตัวแดงก่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ข้างในยังมีคนอีกเจ็ดแปดคนเมาเต้นกันอีรุงตุงนังข้างสระน้ำบ้างก็ลงไปแหวกว่ายแหกปากในสระเป็นที่สนุกสนาน ถ้ามองจากที่ไกล ๆคงนึกว่ากำลังจะจมน้ำตายและตะโกนขอความช่วยเหลือ


“วันเดียวเองทนไม่ได้รึไง! น้ำใจคนไทยไง! รู้จักป่าว!”


“เท่าที่ผมได้ยิน มันไม่ใช่น้อยนะครับ เดือนละสองสามหนได้” ในที่สุด ผมก็เข้าไปมีส่วนร่วม


“อ้าวเฮ้ย! ไอ้หนุ่ม! บ้านที่ขับบีเอ็มสีดำป่ะ เข้ามาดื่มกันก่อน!เอิ๊ก!” ตามประสาคนเมาเขากวาดมือเชิญให้เราเข้าไปภายในเมื่อต้อนวัวต้อนควาย แต่ไม่มีใครตอบรับ


“ขอบคุณครับ ขอรับไว้แต่น้ำใจ” ผมหงายฝ่ามือตั้งปฏิเสธ“หลายคนต้องไปทำงานแต่เช้านะครับ เด็ก ๆ ก็ต้องไปโรงเรียน”


“เฮ้ย เป็นเด็กเป็นเล็ก! มาสั่งสอนผู้ใหญ่ได้ไง!” เขาตวาด


“จะกินจะดื่มไม่ว่าหรอก แต่เบาเสียงลงหน่อยพ่อคู้นเอ็ดตะโรเป็นงานบวชงานโกนตามบ้านนอกไปได้” แม่บ้านบัวเสริม


“พวกมึงไสหัวกลับไปให้หมด! กูรำคาญ เดี๋ยวยิงไส้แตก!!”


“ผมมาเตือนกันเองดี ๆ นะครับคุณ ดีกว่าให้เพื่อนบ้านแจ้งตำรวจนะครับ”รปภกล่าวประโยคดังกล่าวเข้าหูแฟนสาวของเจ้าของบ้านและเธอตรงปรี่เอาเรื่องทันทีเธอยังอายุน้อยแต่งหน้าจัดจ้าน สวยแบบไร้ราศีเหมือนออหรี่คิดว่ารสนิยมทางสังคมคงไม่ห่างจากใบหน้าเท่าไหร่นัก


“อียามนี่มึงระวังตัวไว้!” เธอเอาเหล้าเหลือค่อนแก้วสาดหน้ารปภ“อย่ามาอวดดีอ้างตำรวจ มึงไม่รู้เหรอผัวกูลูกใคร” พูดไม่ทันขาดคำก็แสดงกิริยาต่ำดั่งที่คาดไว้ยามหนุ่มอยู่ในฐานะที่ต้องยอมอ่อนข้อแม้จะเป็นการหมิ่นเกียรติก็ตาม


“คนมีการศึกษาน่าจะพูดกันดี ๆ ได้นะคะ” แม่บ้านบัวกล่าว


“แหม! พูดยังกะพวกมึงมีการศึกษา คนใช้ ยาม อีกตัวยังไม่จบตรี กล้าพูดเนอะ!”หญิงสาวชี้กราดเรียงตัว


“แต่ดูแล้ว ผมว่าพวกเขาวางตัวและใช้คำพูดมีการศึกษากว่าคุณอีกนะ”ผมย้อนกลับ
“มึงอย่าลามปามแฟนกู!” ฝ่ายชายเอ่ย


“มึงรู้ไหมกูลูกใคร!!”


“เรากลับกันก่อนเถอะครับ” รปภหนุ่มแอบสะกิดให้ผมถอยทัพแต่ผมไม่สน


“ลูกใครก็ไม่อาจทราบได้ครับ รู้แต่ว่าน่าเศร้ามากที่อายุขนาดนี้ยังไม่สามารถพึ่งพาตนเพื่อปกป้องตัวเองได้”


“ไอ้เหี้ย!” ชายหนุ่มโกรธคลั่งพุ่งเข้าชกแต่ผมเอี้ยวหลบอย่างง่ายดายทำให้เขาล้มกระแทกพื้น


เพื่อนในกลุ่มชักรำคาญที่การเจรจาไม่สิ้นสุดเสียทีเดินตุปัดตุเป๋หอบสังขารเมากริ่มเข้าร่วมวงวิวาทะด้วย


“เอาปืนมาอวดแม่งดิ!” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่าที่เจ้าบ่าวเดินหายไปในบ้านชั่วครู่


“คุณเตอร์คะ น้ากลัวค่ะ กลับบ้านใครบ้านมันกันดีกว่า” น้าบัวพลอยวิตกจริตไปอีกคนใจจริงอยากเผยความสามารถให้เห็นกันโจ่งแจ้งไปเลย เธอจะได้สบายใจว่าเลือกยืนข้างผมยังไงก็เป็นฝ่ายชนะกองทัพขี้เมานี่จะทำอะไรผมได้


“ไอ้สัตว์! เกะกะบ้านคนอื่น กลับไป๊!”


“คนจะมันส์กันอย่าเสือก!”


“เดี๋ยวรอปืนมาก่อนเถอะมึง” ว่าที่เจ้าสาวชี้ขู่และไม่นานนักหนุ่มเจ้าของบ้านขี้เมาก็ออกมาพร้อมปืน
.
.
.
“ไหน! ใครจะปากดีอีก!” แม่บ้านบัววิ่งหนีเตลิดไปแล้วส่วนรปภพยายามเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายใจเย็นลง
.
.
.
“กูฆ่าคนไม่ติดคุก! มึงจะลองมั้ย!” เพื่อนบ้านเจ้าอารมณ์หันลำกล้องมาตรงหน้าเต๋อทว่าก็ไม่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามมีแสดงอาการร้องขอชีวิตหรือแสดงอาการลุกลี้ลุลนให้เห็นแต่อย่างใด
.
.
.
เต๋อมองหน้าผู้ร่วมปาร์ตี้ฝ่ายอริ
.
.
“หนึ่ง”
.

“สอง”เขานับจำนวนและจดจำใบหน้าไล่ทีละคน

“สาม . . . สี่ . . . ห้า”


“นับหาพ่อมึงเหรอ! นับเหี้ยอะไร!” ใครคนหนึ่งด่าถามด้วยความหงุดหงิด


“หก เจ็ด . . .”
.
.
“กูถามว่ามึงนับอะไร!!”


ชายหนุ่มไม่แยแสแม้จะอีกฝ่ายพร้อมเหนี่ยวไกได้ตลอดเวลา


“แปด. . .”
.
.
“เอาละ. . .ผมจำพวกคุณได้หมดแล้ว. . .” เต๋อหันหลังกลับและสะกดจิตให้รปภที่อยู่ด้วยเลิกสนใจเช่นกันกลุ่มนักดื่มเจ้าสำราญต่างฉงนที่ฝ่ายตรงข้ามบทจะจบก็จบเอาดื้อ ๆ


แต่แล้วก็มีคนหนึ่งจุดประเด็นขึ้นมาแหวกวงเงียบ


“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน กลับบ้านมึงไปเลย!” ได้ยินดังนั้นคนที่เหลือจึงพากันโห่ไล่ไสส่งเต๋อและรปภ

“ควย!นึกว่าจะแน่! แม่งป๊อด”
“กลัวจนเยี่ยวราดเลยมั้งฮ่า ๆ ๆ”

กลุ่มชายหญิงเจ้าสำราญทะนงตนว่าเป็นผู้กุมชัยชนะจริงอยู่ท่าทีของเต๋อนั้นคนทั่วไปคงตีความว่าเป็นหนีเพื่อรักษาชีวิต
.
.
.
.
ที่ความจริงยิ่งกว่านั้นคือเขาได้หมายหัวเหยื่อเรียงตัวไว้แล้ว

.
.
“อวยพรให้งานแต่งเป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตคุณนะครับรวมถึงเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวด้วย” เต๋อกล่าวไว้เช่นนั้นก่อนเดินลับสายตาไปท่ามกลางเสียงโห่ฮาและร้องรำทำเพลงอย่างไม่แยแส


สองวันให้หลัง
.
ในห้องนั่งเล่น ณัฐกำลังใช้หลับตาเพ่งนิมิตจนคิ้วแทบชนกันไม่ใช่ว่าเห็นภาพเหตุการณ์ไม่ชัด แต่เพราะมันชัดเกินไปนี่เองณัฐจึงต้องแสร้งทำเป็นว่ากำลังยังใช้พลังอยู่ความคิดภายในใจหลังจากที่ได้เห็นภาพเต๋อแขนขาหักเนื่องด้วยมีปากเสียงปะทะกับธนิกอีกครั้งทำให้เขากำลังคิดอยู่ว่า “ควร”จะพูดสิ่งใดออกไปจึงจะเป็นผลดีที่สุดขณะที่มีนนั่งประสานมือราวกับภาวนาอะไรสักอย่างต่อพระผู้เป็นเจ้าส่วนธนิกกระวนกระวายเดินวนรอบห้องเหมือนรอฟังผลผ่าตัดญาติก็ไม่ปานทั้งสองวานให้ณัฐอ่านเหตุการณ์เพื่อให้แน่ใจว่าการเดินทางไปเอาของคืนถึงหมู่บ้านเต๋อนั้นเจ้าบ้านจะไม่ซ่อนลูกเล่นไว้ซุ่มโจมตีคงมีแต่ทางนี้เท่านั้นเพราะโทรไปก็ไม่มีคนรับสาย


“นานไปแล้วนะเฮ้ย เห็นอะไรบ้างฮึ” ธนิกสะกิดให้ณัฐออกจากนิมิตซึ่งณัฐเองก็รู้ดีว่าวิธีนี้ถ่วงเวลาได้ไม่นานเท่าไหร่หากมีธนิกรออยู่เขาไม่ชอบรอและใจร้อนเป็นที่หนึ่ง
.
.

เด็กหนุ่มแกล้งลืมตาตื่นช้า ๆ

“ไหนเธอช่วยตอบทีถ้าพี่กับพี่นิกไปถามหามือถือจะมีเกิดอะไรขึ้นบ้าง. . .” มีนถาม


ในสภาพกดดันเช่นนี้ ณัฐรู้สึกน้ำท่วมปาก ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงเต๋อแต่มันคือความสับสนคำพูดที่ออกจากปากเขาต่อหน้าบุคคลผู้เกี่ยวข้องย่อมมีส่งผลกระทบต่ออนาคตที่จะเกิดขึ้นซึ่งขณะนี้คือจะเกิดการทะเลาะลงไม้ลงมือกันอีกครั้งและคราวนี้เต๋อจะบาดเจ็บสาหัสจะอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ณัฐหาไม่ปราถนาดีหรือฝักใฝ่ฝ่ายใดเป็นพิเศษเขาเองก็มีสิ่งที่ซ่อนเร้นภายในใจ


เมื่อเห็นธนิกหงุดหงิดจนน้ำในตู้ปลากระเพื่อมไปมาเขาจึงเอ่ยปากขึ้นในที่สุด


“ไม่มีอะไรร้ายแรงครับ. . .แต่ถ้าพวกพี่ไปกันเอง อืม. ..ขากลับรถจะยางแตกครับ เอ่อ. . .ไปเหยียบอะไรเข้าก็ไม่รู้” แน่นอนว่าเป็นอุบายที่กุขึ้นสดๆ ร้อน ๆ


ธนิกทำหน้าไม่สบอารมณ์และถามต่อ “ถนนสายไหนล่ะจะได้เลี่ยง”


“ผมไม่ทราบครับ มองไม่ออกเลย”
.
.
“เวรกรรม. . . ทั้งเบอร์ติดต่อทั้งข้อมูลที่อยู่ในมือถือพี่มีแต่เรื่องสำคัญทั้งนั้นเลยนะ” มีนก่ายหน้าผากเมื่อเข้าใจว่าความยุ่งยากจะเกิดขึ้นซ้ำซ้อน
.
.
ณัฐสบตาพี่ ๆ เพื่อหยั่งเชิง เมื่อเห็นว่าทั้งสองปักใจเชื่อแล้วจึงค่อย ๆ รวบรวมความกล้าออกอุบายต่อไป


“เอ่อ. . .ให้ผมไปเอง .ดีไหมครับ”
.
.
“พูดเป็นเล่น” ธนิกรู้สึกเหมือนณัฐเป็นวัวที่อยากเข้าไปเดินเล่นในโรงฆ่าสัตว์
.
.
“เอ่อ. . .ผมมั่นใจว่า. . .ทุกอย่างต้องเรียบร้อยครับ. . .คือว่า. ..ผมก็อ่านเหตุการณ์ล่วงหน้าเช็คความปลอดภัยให้ตัวเองได้เรื่อย ๆ อยู่แล้ว” เด็กหนุ่มเสนอตัวอย่างระมัดระวังไม่ให้อีกฝ่ายจับพิรุธได้ว่ากำลังตั้งใจเปลี่ยนอนาคตที่แท้จริงเพื่อหวังผลบางอย่างหากทำได้แนบเนียนละก็จะไม่มีใครจับผิดได้เลยเพราะคนที่เห็นภาพนิมิตได้มีเพียงเขาเท่านั้น
.
.
“เราตัวคนเดียวจะไหวเหรอ จำได้รึเปล่าว่าเขาคุมคนได้ทีละเป็นสิบ ๆ”มีนเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ช่วยเธอได้ แต่ก็เป็นห่วงน้องอยู่เช่นกัน
.
.
“เรื่องนั้น. . .ผมทราบครับ. . .อืม แต่คิดว่าอย่างน้อย. ..พี่เขาคงไม่คิดจะทำร้ายคนที่เคยอ่านอนาคตเพื่อช่วยชีวิตเขาหรอกครับ”


ได้ยินดังนั้นมีนจึงนึกได้ว่าเต๋อก็เคยพูดทำนองว่าจะสะกดจิตคนตอบแทนณัฐเพราะไม่อยากติดค้างบุญคุณจึงเป็นไปได้ว่าหากณัฐเป็นคนกลางล่ะก็ ภารกิจนี้อาจลุล่วงง่ายกว่าที่คิด


“จริงสินะ เธอพูดถูก เต๋อก็คิดแบบนั้นอยู่แล้ว”


“พี่มีนพูดอะไรน่ะครับ” ธนิกหันขวับดูเหมือนมีนจะลืมไปว่าเธอควรปกปิดเรื่องที่ไปพบเต๋อเป็นการส่วนตัว


“อ๋อ. . . พี่หมายถึงที่ณัฐพูดมาก็ฟังขึ้นน่ะยังไงก็ต้องเกรงใจกันบ้างแหละ” เธอรีบตัดบทและสรุปจบโดยไว
.
.
“งานนี้คงไม่ต้องรบกวนเธอแล้วละนิก พี่ว่าณัฐคนเดียวก็เอาอยู่”
.
.
“เอางั้นเรอะ. . .” ธนิกมองณัฐเกาหัวยิ้มหน้าเจื่อนท่าทางไม่เชื่อมือเท่าไหร่นัก กระนั้นก็อาจจะดีที่น้องชายได้เรียนรู้วิธีพบปะเจรจากับผู้อื่นเสียบ้างโดยเฉพาะกับคนอันตรายอย่างเต๋อหากทำสำเร็จก็นับว่าณัฐได้เรียนรู้การเป็นผู้ใหญ่ไปอีกก้าวหนึ่งซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
.
.
“งั้นก็ได้ แล้วอย่าเปลี่ยนใจทีหลังละครับ ผมไปก่อนล่ะ” เขากระดิกนิ้วเรียกกุญแจรถบนโต๊ะลอยกลับสู่ฝ่ามือแล้วเดินออกจากห้องไป
.
.
.
.
เมื่อธนิกพ้นจากวงสนทนา ณัฐคลายอาการเกร็งลงรู้สึกโล่งใจที่ทุกอย่างเข้าที่ทางตามที่ตนคิดไว้


“ฝากด้วยนะณัฐ อย่าลืมล่ะว่า ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลโทรหาพี่นิกทันทีรู้มั้ย” มีนกำชับ


“ครับ” ณัฐรับคำ และต่อมาก็เหมือนจะนึกสิ่งที่ใคร่ถามขึ้นมาได้


“เอ่อ. . .พี่มีนครับ . . . ระหว่างพี่นิกกับพี่เต๋อพี่ว่าใครน่ากลัวกว่ากันครับ”
 
.
.
เป็นคำถามที่มีนเองก็ไม่เคยเอะใจมาก่อนเช่นกันกระนั้นก็แสดงความเห็นกลับไป
.
.
“ถ้าถามว่าใครน่ากลัวกว่ากัน. . . พี่ตอบไม่ได้หรอกถ้าสมมติเธอทำให้นิกโกรธ เขาจะเป็นศัตรูของเธอคนเดียวและจะเล่นงานเธอจนถึงที่สุดไม่หัวร้างข้างแตกก็พิกลพิการ หรือไม่ก็อาจถึงตาย. . . ถ้าเป็นเต๋อ. . .เธอจะยังมีชีวิตและอวัยวะอยู่ครบ. . .แต่. . .
.
.
.
. . .คนทั้งโลกจะเป็นศัตรูกับเธอ”
.
.
.

เด็กหนุ่มพยักหน้า ความเห็นจากมีนช่วยชี้คำตอบที่เหมาะสมกับตัวเขาที่สุดบัดนี้ณัฐตัดสินใจได้แล้วว่าจะต้องเดินหน้าต่อไปทางไหน
.
.
.
แสงแดดยามบ่ายทอประกายสว่างจ้า ณัฐนั่งสงบใจอยู่ในห้องตามลำพังตาจ้องไปที่โทรศัพท์อย่างครุ่นพินิจหลังจากมีนเล่าความลับที่ให้ฟะงด้วยความไว้ใจว่าเธอไปพบกับเต๋อมาก่อนหน้านี้ ไม่ได้ไปแอบสอดแนมตามที่บอกกับธนิกจะว่าไปก็น่าตลกที่ธนิกนั้นน่ากลัวจนคนรอบข้างต้องโกหกเอาตัวรอดกันไปหมดอย่างไรก็ตาม เขาคิดว่าน่าจะลองต่อสายอีกสักครั้งก่อนการเข้าไปหาเต๋อถึงที่แบบขาดพิธีรีตองควรจะเป็นทางเลือกสุดท้ายเพราะเต๋อท่าทางจะไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับชีวิต


ณัฐสูดลมหายใจลึก
.
.
“เอาวะ. . .” ในที่สุดก็กดต่อสายไปจนได้
.
.
เสียงรอสายกับเสียงใจเต้นสั่นแทบจะเต้นเป็นจังหวะเดียวกันณัฐรู้สึกตื่นเต้นจนปวดฉี่ขึ้นมาทันใด
.
.
“สวัสดีครับ” ปลายสายรับในที่สุด
.
.
“หวัดดีครับ. . .พี่. . .เต๋อรึเปล่าครับ. . . เอ่อ. . .ผมณัฐนะครับจำได้ไหม”
.
.
“ก็เกือบจะจำไม่ได้หรอกครับถ้าไม่โชว์ชื่อคนโทรเข้ามาแต่ช่างมันเถอะครับ. . .ณัฐน้องธนิกใช่ไหม ที่เจอกันวันที่พี่นอนแอ้งแม่งริมสระ”แม้แต่เต๋อยิงมุกจิกกัด แต่ณัฐก็ยังโล่งอกที่ยอมคุยด้วย
.
.
“เอ่อ. . .โทรศัพท์นั่น. . .อยู่กับพี่สินะครับ”
 
.
.
“ครับ. . . พี่เขาทำตกไว้แถวหน้าบ้านพี่ขอโทษที่ไม่ได้รับสายเพราะพี่ไม่ค่อยอยู่บ้าน วุ่นทั้งงานราษฎร์งานหลวงเงินก็ต้องหา ลูกหนี้ก็ต้องตามล่า ฮะ ๆ” เต๋อพูดอย่างหน้าตายไหน ๆ ก็ ไหน ๆ แล้วคงไม่ต้องทำไขสือทำเป็นว่าอีกฝ่ายไร้เดียงสา ให้มันรู้กันไปเลยว่าไผเป็นไผณัฐแอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย
.
.
“ฝากขอโทษพี่มีนด้วยนะที่พี่เคยเสียมารยาทกับเธออีกเดี๋ยวพี่จะออกไปทำธุระข้างนอก กว่าจะกลับคงค่ำเลยล่ะถ้ายังไงพี่ขอส่งคืนวันพรุ่งนี้ได้ไหมครับ”
.
.
“ได้ครับ. . .แล้วแต่พี่สะดวกเลยครับ”
.
.
“จริงสินะ เราเคยช่วยพี่ให้พ้นจากอุบัติเหตุนี่นา ขอบคุณมากครับ”เต๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่ากลั่นจากใจจริงหรือมีสิ่งใดแอบแฝงและแม้ณัฐอยากจะบอกว่าไปขอบคุณธนิกเถอะแต่ก็พูดไม่ได้ก็คนที่ช่วยชีวิตเต๋อกับเกือบเอาชีวิตไปเป็นคนคนเดียวกัน
.
.
“แหะ ๆ ก็ว่าไปตามที่เห็นครับ. . . อืม. ..พี่มีนจำเป็นต้องใช้มือถือด่วนน่ะครับ. . .เอ่อ. . .ถ้าเป็นพรุ่งนี้ก็โอเคครับ”


“ครับ ไม่มีปัญหา จริงสิ. . .เดี๋ยวพี่ต้องออกไปทำธุระแล้วครับไว้คุยนัดวันเวลากันทีหลังได้ไหมครับ” เต๋อกล่าว
.
.
“ครับ” ณัฐรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ยังไม่สามารถเข้าเรื่องอยากพูดที่แท้จริงได้แต่กระนั้นก็อยากจะทิ้งท้ายอะไรบางอย่างให้อีกฝ่ายได้นึกถึงความสามารถของเขา
.
.
“เอ่อ. . .พี่ครับ. . .พก. . .ร่มไปด้วยนะครับ วันนี้พี่ต้องใช้”
.

เต๋อกระแอมหัวเราะ “ตอนนี้ไม่ใช่หน้าฝนสักหน่อยหรือว่าพกร่มหมายถึงอย่างอื่นกันนะ. . .” เมื่อเห็นอีกฝ่ายอารมณ์ดีคุยง่ายกว่าที่คิดณัฐจึงเล่นบ้าง
.
.
“นั่นสินะ. . .ร่มแบบไหนกัน. . .อืม. . .พี่ลองเล่นเกมกับผมหน่อยไหมครับ”


“น่าสนใจ ว่ามาสิครับ” เต๋อรับคำท้า


“ผมให้เลือกได้อย่างเดียว ห้ามโกงนะครับเลือกร่มที่พี่คิดว่าตรงกับคำบอกใบ้ของผมไปได้อย่างเดียว แต่ถ้าเลือกผิดพี่จะลำบากนะครับ”
.
.
“ได้เลยครับ พี่สัญญา” เขาตอบรับสั้น ๆ
.
.
“เอ่อ. . . อีกอย่างหนึ่งครับ. . . ขอเบอร์ติดต่อของพี่ได้ไหมครับ.. .ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ”
.

นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากใจเต๋อนึกเสียดายเหมือนกันที่อ่านใจเด็กคนนี้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนกันแน่เขาเป็นคนขี้ระแวงโดยสัญชาตญาณ แต่อย่างไรก็ตามในความไม่ชอบมาพากลนี้เขากลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างน่าลุ้นหาคำตอบและหากอีกทางเกิดสับปลับขึ้นมาก็มั่นใจว่าจะไหวตัวทัน
.
.
.
“เอาสิครับ พี่ให้ณัฐรู้คนเดียวนะ สัญญาก่อน”


“ครับ สัญญา ๆ” ณัฐเริ่มมีความหวังเขยิบขึ้นอีกนิดเมื่ออีกฝ่ายมีท่าทีเปิดรับมากขึ้นไปอีก


และหลังจากคุยกันเรียบร้อยแล้ว เต๋อก็ขอตัววางสายไป
.
.
เขายืนลูบคางอย่างพิจารณา นี่ไม่ใช่ช่วงหน้าฝนหรือมีมรสุมเข้าณัฐอาจจะไม่ได้หมายถึงร่มกันฝน แต่ร่มในคำใบ้อาจหมายถึงถุงยางซึ่งน่าจะเป็นไปได้มากกว่าเพราะเขาคลุกคลีอยู่กับการล้างแค้นคนด้วยการให้แสดงออกทางกามารมณ์อย่างอุกอาจมานักต่อนัก
.
.
.
จะอย่างไรก็ตามแม้เป็นเกมที่น่าสนใจแต่เขาก็ไม่มีเวลาวิเคราะห์ให้มากความนัก เต๋อตัดสินใจเลือก “ร่ม” ที่คิดว่า “ใช่” เพียงหนึ่งชิ้นตามคำสัญญา เขาขยับไทค์ให้เข้าปกคอชุดสูทแล้วเสร็จจึงบึ่งรถบีเอ็มสีดำทมิฬคู่ใจ
 
.
.
.
.
มุ่งสู่งานสมรสของเพื่อนบ้านไร้การอบรมซึ่งเขาคิดว่าอยู่ร่วมโลกด้วยกันไม่ได้อีกต่อไป
.
.
.
จบตอนที่ 17 เกมของณัฐ



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แค้นวิปริต จิตสั่งกาม : ตอนที่ 16 เผาแม่มด

ตอนที่ 16 เผาแม่มด
.
.
.
คณะนิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยที่จอยที่เรียนอยู่นั้นมีมาตรฐานค่อนข้างเป็นที่ยอมรับ รายล้อมด้วยสภาพแวดล้อมอันดี เอื้อต่อการเพิ่มพูนทักษะความรู้ด้านนิเทศศาสตร์ ทั้งห้องสตูดิโอ ห้องตัดต่อภาพยนตร์ หรือแม้แต่โรงละครเวทีโอ่โถง น่าอิจฉาจริงที่จอยมีโอกาสได้ใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยที่พรั่งพร้อมเช่นนี้ เธอคงมีความสุขมาก ต่างจากผมซึ่งเก็บซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต เฝ้ารอคอยวันปรากฏตัวต่อหน้าเพื่อนเก่าทีละราย ซึ่งใครที่พบเจอผมล้วนเรียกได้ว่าชะตาถึงฆาตประหนึ่งจ้องตางูยักษ์บาซิลิกส์

เพราะเมื่อผมยอมเผยโฉมต่อผู้ใด
.
นั่นหมายความว่าบุคคลนั้นต้องชดใช้
.
.
.
บรรยากาศหน้างานคราคร่ำด้วยนักศึกษาและบุคคลภายนอกที่เฝ้ารอชมละครเวทีนิเทศศาสตร์ประจำปี เสียงเพลงประกอบละครเปิดวนซ้ำไปมาเหมือนสะกดจิตผู้คน มีกระดานดำแปะรูปเบื้องหลังการฝึกซ้อม และซุ้มถ่ายรูปให้ผู้เข้าชมได้ฆ่าเวลาไปพลาง ไม่มีใครสนใจว่าผมเป็นใครมาจากไหนในวาระต่างคนก็ต่างที่มาเช่นนี้ ผมจึงเดินสำรวจยืดเส้นสายได้อย่างสบายใจ

หนุ่มสาววัยทำงาน หรือแม้แต่วัยกลางคนที่จูงลูกเด็กเล็กแดงมาดูด้วยก็มี เพราะแนวละครปีนี้กล่าวถึงความรักและการเสียสละ จึงกล่าวได้ว่าเป็นละคร “เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี” เด็กชายวัยราวเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งมองมาที่ผม

ผมถือวิสาสะเดินไปก้มตัวลงส่งยิ้มให้เด็กน้อย พ่อแม่ของเขาไม่มีท่าทีระแวงหรือหวงแต่อย่างใด คงคิดว่าลูกตนเองน่ารักจนคนรอบข้างอดแสดงความเอ็นดูไม่ได้ เปล่าเลย. . . .

“เข้าไปแล้วถ้าเห็นอะไรน่ากลัว หลับตาไว้นะหนู เดี๋ยวมันจะติดตาไปจนโต” ผมแอบกระซิบเตือนเขาเบา ๆ

เด็กน้อยทำหน้าฉงน ไม่เข้าใจผมก็ไม่เป็นไร ผมก็ไม่ได้หวังว่าต้องเข้าใจหรอก 
.
.
.
“เฮ้ย! ยุ่งไรนักหนาวะ” เสียงหนึ่งโผล่งขึ้น แม้จะไม่ใช่เสียงดังเท่าไหร่ แต่ใจความสื่อได้ว่าเกิดเหตุขัดแย้งขึ้น ผู้ที่คนรอบข้างจึงหันไปมองด้วยความสนใจ

ตุ๊ดผมหยิกร่างอ้วนดำคนหนึ่งตกใจมือไม้สั่น

“หนูแค่อยากถ่ายรูปกับพี่โจเอง หนูปลื้มพี่นะคะ” ตุ๊ดอ้วนกล่าว

“น่ารำคาญว่ะ ไปให้พ้น” ชายที่ชื่อโจเอ็ด ทั้งเขาและตุ๊ดอ้วนสวมชุดนักศึกษา น่าจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในมหาลัยเดียวกันมาเข้าชมหรือช่วยจัดการแสดง

“เหี้ย! หลอนชิบหาย! กะเทยควาย!” หลังสบถแล้วโจจึงเดินแทรกตัวหายเข้าไปในฝูงชน ท่ามกลางผู้คนทีมองไล่หลังอย่างงง ๆ กระนั้นทุกคนก็หันกลับไปทำอย่างอื่นต่อ

“เหวี่ยงทั้งผัวทั้งเมียแหละ อีโก้ได้โล่” เด็กสาวคนนึงเอ่ยขึ้น

“มาดูแฟนเล่นละครแทนที่จะอารมณ์ดี ยังไม่วาย. . . .อีจอยคบกับอีโจนี่ดูเผิน ๆ เหมือนกิ่งทองใบหยกเนอะ หล่อสวยทั้งคู่ ลองลอกเนื้อในออกมาดูสิ เน่าเฟะ อีผัวทั้งหลงตัวเอง ขี้วีน ดูถูกคนอื่น อีเมียตอแหลตัวแม่ หลอกด่าเก่ง ชอบทำให้คนอื่นเป็นตัวตลก” เด็กสาวคู่สนทนาตอบรับ

“เอาเหอะมึง. . . .ด่ามันไปก็ใช่ว่าหน้าตาเราจะดีขึ้น ดีไม่ดี มีคนหาว่าองุ่นเปรี้ยว ฮะ ๆ ๆ” เด็กสาวยุติประเด็นไว้แค่นั้นและชวนเพื่อนเดินไปทางอื่น

ผมอยากพบจอยเร็ว ๆ จนใจเต้นตึ๊กตั๊ก
เธอจะสวยแค่ไหนกันนะ ต้องเป็นแม่มดที่เซ็กซี่มาก ๆ
แต่เดี๋ยวคงได้พบแน่นอน ตอนนี้ต้องดำเนินตามแผนก่อน
.
.
.
เคานเตอร์ตรวจและขายบัตรเข้าชมอยู่บริเวณประตูใหญ่พอดี ผมเดินตรงไปหาสตาฟที่ดูแลส่วนนั้น และ. . .
.
.
.
จ้องตา
.
.
กลืนกินสามัญสำนึกของทุกคนให้อยู่ใต้อาณัติอำนาจโทรจิต

ผมเหมาไข่ไก่มาหลายสิบแผงเพื่อการนี้โดยเฉพาะ คงต้องรบกวนเหล่าสตาฟช่วยกันหน่อย

ช่วยเนรมิตฝันของผมให้เป็นฝันร้ายของใครบางคน
.
.
.
“อุ๊ย! อะไรคะเนี่ย” ผู้เข้าชมถามเมื่อได้รับสูจิบัตรพร้อมของติดมือสองสามอย่างหน้าทางเข้า

“ไข่ไก่ค่ะ กรุณาอย่าทำแตกนะคะ เดี๋ยวข้างในจะมีเกมให้เล่นค่ะ” นักศึกษาสตาฟขายบัตรตอบพร้อมรอยยิ้ม มือยังไม่หยุดนิ่ง จัดสูจิบัตรพร้อมของแจกไปด้วยอย่างขยันขันแข็ง

“รับไข่ไปคนละฟองนะคร้าบบบบ อย่าทำแตกนะคร้าบบบ” สตาฟคนอื่น ๆ ช่วยกันแจกไข่ไก่ให้ทั่วถึงกัน ผู้เข้าชมรับไปอย่างงุนงง แต่ก็ยอมทำตามโดยดีเพราะคิดว่าคงมีเซอร์ไพร์สเล่นกับคนดูหรือชิงรางวัลเป็นลูกเล่นให้เกิดบรรยากาศตื่นเต้นน่าสนใจ

จอยในชุดแม่มดแอบแง้มประตูด้านหลังออกมาเรียกใครสักคน

“เข้ามานี่สิ” เธอกวักมือเรียก

“ครับ? พี่จอย” สตาฟคนหนึ่งขานรับเสียงใส เดินเข้าไปหาเธอเผื่อว่านักแสดงรุ่นพี่มีอะไรไหว้วาน

“ใครให้แจกไข่? แจกทำบ้าอะไร”

“ผมไม่ทราบพี่ แต่ต้องแจกทุกคน คงเป็นเกมไว้เล่นกับคนดูน่ะครับ” สตาฟหนุ่มตอบ

“ไข่เนี่ยนะ?”

“ครับ?” สตาฟหนุ่มเกาหัว

“วุ้ย! อยากเล่นอะไรตามใจเถอะ ไม่รู้ด้วยแล้ว เออนี่ อยากดื่มอะไรเปรี้ยว ๆ ให้สดชื่นหน่อย พี่วานไปซื้อหน่อยสิ น้ำผลไม้หรืออะไรก็ได้ค่ะ” จอยส่งธนบัตรให้เด็กหนุ่ม

“น้ำกระเจี๊ยบดีไหมครับ” เขาถามหลังรับเงิน

น่าแปลก จอยรู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอทันทีเมื่อได้ยินคำว่า “น้ำกระเจี๊ยบ” มันเป็นคีย์เวิร์ดหรือคำสำคัญที่เกี่ยวพันกับเหตุการณ์ในอดีตที่เธอใช้โกหกสร้างเรื่องใส่ร้ายเพื่อนคนหนึ่ง ไม่ใช่ความรู้สึกผิดหรือเศร้าสลด หากแต่เป็นความอึมครึม เหมือนมีลางบอกเหตุบางอย่าง

“ไม่! ไม่เอาน้ำกระเจี๊ยบ! น้ำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่น้ำกระเจี๊ยบ” จอยกำชับเสียงแน่นเกินความจำเป็น

“น้ำมะนาวแล้วกันนะครับ” สตาฟหนุ่มโค้งรับแล้วออกไปซื้อตามคำสั่ง

“วันนี้ทำไมรู้สึกขนลุกแปลก ๆ” จอยลูบไล้เนื้อตัวมองซ้ายขวาอย่างระแวง
.
.
.
ทันใดนั้นเสียงเรียกเข้าจากมือถือก็ดังโพล่งขึ้นมาจนเธออุทาน “แม่งเย็ด!”
เมื่อหยิบมือถือออกมาดูหน้าจอ ก็พบว่าไม่ใช่ใครที่ไหน

“โธ่ อีเกรซตกใจหมด โทรมาทำไมตอนนี้” เธอบ่นกับตัวเองพลางกดรับสาย

“ว่าไงอีดอก ไหนบอกจะมาดูกูเล่น” เพื่อนสนิทท้วงขึ้นทันที

“จอย! จอยเหรอ!” เกรซผลีผลามเอ่ยขึ้นอย่างตระหนก

“เออ มึงโทรหากูก็ต้องเป็นกูสิ”

“อีดอกจอยมึงรีบถอนตัวออกมาเลย ละครเวที! มึงเป็นนางเอก! ช่วงที่มึงเป็นนางเอกละครเวทีมันหมายหัวมึงไว้แน่!!”

“ว้าย! อีนี่เมนส์ไหลย้อนขึ้นสมองรึไง พูดภาษาคนให้รู้เรื่องหน่อย”

“ไอ้เต๋อกำลังล้างแค้นพวกเราทีละคน กูโดนพร้อมแม่ตอนไปหาเสียง ยิ่งมึงกำลังเล่นละครเวทีถ้ามันรู้มันไม่ปล่อยมึงไว้แน่”

“เต๋อไหนวะ. . .” จอยถาม

“อีที่เคยโดดตึกลงมาตอนมอสามไงเล่า! นึกออกรึยังอีควาย!!” เกรซตวาดลั่น ไม่รู้เพราะหงุดหงิดที่สื่อการกันไม่รู้เรื่องหรือเพราะเป็นห่วงอยากให้เพื่อนรีบตระหนักระวัง

“อ๋อ. . . นึกออกแล้ว อีนั่นน่ะเหรอ ทำไม ๆ ? มึงเจอมันมาเหรอ”

“ไม่ใช่แค่เจอ มันยิ่งกว่านั้น! สะกดจิต! คือมึงนึกออกป่ะ. . .คือแบบ. . .!” ดูท่าเกรซจะมีปัญหาเรื่องการเรียบเรียงคำพูดเพื่อบอกเล่า วีจึงช่วยบุ้ยใบ้อยู่ข้างตัว เพราะมองออกว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำความเข้าใจผ่านโทรศัพท์ได้ง่าย ๆ

“ยกตัวอย่างข่าวปรียาหรือใครก็ได้ไปสิ” วีกระซิบ

“ข่าวแม่กูก็ฝีมือมัน!” ไม่น่าเชื่อว่าจะลงทุนยกแม่ตัวเองเป็นกรณีศึกษา

“จริงสิ ว่าจะถามอยู่พอดีว่าน้าดาเป็นอะไร ป่วยรึเปล่า เล่าให้ฟังหน่อยได้มะ เดี๋ยวกูเหยียบไว้เลย” คำตอบของจอยทำให้เกรซถึงกับใช้มือลูบหน้าปาดเหงื่อ เรื่องนี้คุยกันลำบากแสนสาหัสจริง ๆ

“มึงช่วยพูดกับมันหน่อย เอาไปเร็ว ๆ ซี่!” เกรซส่งมือถือให้วีลนลานเหมือนปัดระเบิดในมือให้ไปตูมที่อื่นไกล ๆ

“หวัดดี ๆ จำเราได้เปล่า” วีถาม

“อ้าว นี่ใครอีกล่ะเนี่ย” จอยจุ๊ปากอย่างหัวเสีย ทุกคนกำลังทำให้เธอสับสนขึ้นทุกที

“วีไง ประธานรุ่นเราน่ะ มีเรื่องอยากจะบอก จอยตั้งใจฟังดี ๆ. . .” แต่ไม่ทันที่วีจะได้เล่า จอยก็แทรกสวนขึ้นมา

“อีวีเหรอ!? แล้วจู่ ๆ มึงโผล่มาได้ไงคะ!? นี่มึงสองคนพูดวกวนไม่รู้เรื่องไปกันใหญ่แล้ว พ่อใครตายแม่ใครเสียเดี๋ยวกูโทรกลับไปถามทีหลัง จะเข้าฉากแล้วอีดอก! แค่นี้ก่อนนะคะ” เธอกดวางสายและปิดเครื่องทันที

“ไม่ไหวว่ะ” เขามือถือคืนให้เกรซ

“ทำไมวะ ว่าไง” เกรซถาม

“มันไม่ฟัง วางสายไปแล้ว นึกอยู่เชียวว่าอธิบายให้ฟังทีละคนไม่ง่ายเลย ต้องหาวิธีอื่น” วีส่ายหัวถอนหายใจ “คอยดูกันไปก่อน ช่วงนี้อย่าเพิ่งเล่าให้ใครฟังสุ่มสี่สุ่มห้า แจ้งตำรวจก็เอาไม่อยู่หรอก อย่าลืมว่าอาวุธของมันคือมนุษย์ทุกคน พลาดพลั้งขึ้นมาเราสองคนจะซวยหนักกว่าเก่า”

“พวกจตุรเทพล่ะ? พอจะพึ่งพาได้ไหม” เกรซมองทอดไปนอกหน้าต่างอย่างซังกะตาย

“อยู่แล้วล่ะ” วียิ้ม
.
.
.
“เรื่องนี้พวกเราต้องจัดการกันเอง และจะขาดเหี้ยสี่ตัวนั่นไม่ได้เลย”
“มึงเห็นอีตุ๊ดอ้วนปีหนึ่งนั่นป่ะ ตอแยอยู่ได้ หน้าแม่งหลอนสัตว์” โจ แฟนของจอยพูดกับเพื่อนที่ยืนฉี่ด้วยกันอยู่ข้าง ๆ ส่วนผมนั้นล้างมือทำความสะอาดอยู่หน้ากระจกห้องน้ำ ความที่ผมเป็นคนนอกไม่มีส่วนได้เสียกับเรื่องนี้ โจจึงกล้าพูดโผงผางกระมัง ซึ่งมันไม่ใช่เลย ผมนี่แหละคือเจ้าหนี้แฟนของชายผู้นี้ จะอย่างไรก็ตาม ผมแสร้งล้างมือเหมือนไม่สนใจแต่กำลังแอบฟังทุกอย่างด้วยท่าทีสงบ

“มึงก็ว่าน้องมันแรงไปม๊าง” เพื่อนอีกคนตอบกลับโจ

“ไม่แรงไปหรอกกับอีตุ๊ดพวกนี้ แม่งขยะมีชีวิตชัด ๆ วัน ๆ เอาแต่ปลื้มผู้ชายหล่อ แต่สารรูปตัวเองดูไม่ได้เลย”

“ก็มึงหล่อไงเค้าถึงได้ปลื้ม มึงก็ชอบให้มีคนสนใจอยู่แล้วนี่”

“แต่ไม่ใช่มาวอแวกับกู แม่งไม่หัดเจียมกะลาหัวซะบ้าง เหี้ยเอ้ย มึงนึกดิ่ใครจะอยากถ่ายรูปกับมัน เก็บเอาไปเล่นของรึเปล่าก็ไม่รู้ เหี้ยตุ๊ดอ้วนพวกนี้แม่งน่าจับไปบดไขมันทำเป็นอาหารสัตว์ ตายแบบนี้ยังมีประโยชน์กว่ามีชีวิตอยู่เพื่อแดก แดก แดก ไปวัน ๆ” โจรูดซิปกดน้ำหลังเสร็จกิจธุระ “ไปเหอะว่ะ คนเริ่มเข้างานแล้ว” ทั้งสองเดินออกจากห้องน้ำไป เหลือเพียงความเงียบงัน
.
.
.
ผมได้ยินเสียงแผ่วเบาคร่ำครวญจากห้องน้ำ
.
.
.
“ฮือ ๆ ๆ ๆ” เด็กตุ๊ดอ้วนปีหนึ่งคนที่ขอถ่ายรูปกับโจเปิดประตูห้องส้วมออกมา เขาได้ยินทุกอย่างเมื่อครู่ เจ้าตัวผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นผม คงเข้าใจว่าห้องน้ำเงียบไม่มีคนอยู่จึงเผยตัวออกมาพร้อมใบหน้าแดงก่ำฉ่ำด้วยคราบน้ำตา พลังโทรจิตทำให้ทราบว่าเขาอยู่ในอารมณ์โกรธและเสียใจผสมกลืนกันอย่างแยกไม่ออกทีเดียว
ผมส่งยิ้มให้น้องตุ๊ดอ้วน แต่เขาหลบตาผมแล้วตรงไปล้างหน้าล้างตา คงจะอายน่าดู
.
.
.
“ในยุคนี้ รูปลักษณ์เป็นต้นทุนทางสังคมชั้นดี นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ . . .” ผมพูดกับตัวเองในกระจกเพื่อที่น้องอ้วนจะได้ไม่รู้สึกประหม่าในคำพูด “. . .ผมเอง ก็เคยตะเกียกตะกายจนพ้นจุดนั้นมาแล้ว”

“แต่ยังไงก็เถอะ แค่ขอถ่ายรูปไม่น่าพูดแรงขนาดนั้นเลยเนอะ” ผมส่งยิ้มให้อีกครั้ง

“หนูเกิดมาเป็นแบบนี้แล้วไม่มีศักดิ์ศรีความเป็นคนเหมือนพี่เขาเหรอ” ในที่สุดตุ๊ดอ้วนก็ยอมเปิดใจกับคนแปลกหน้าเช่นผม

“เท่ากันสิ แต่ในโลกแห่งความจริง แค่ศักดิ์ศรีมันยังไม่พอ ต้องมีอำนาจด้วยถึงจะไต่เต้าให้เท่ากันหรือเหนือกว่าได้ อำนาจที่ว่ามีทั้งความงาม ความมั่งคั่ง อำนาจทางความคิด อำนาจทางการเมือง เยอะแยะเลยแหละ ของพวกนี้คนมีวาสนาดีจะได้ติดตัวมาโดยไม่ต้องเหนื่อยมาก แต่อย่างเรา ๆ คงต้องพยายามกันจนเหนื่อย”

“พี่หน้าตาดีก็พูดได้นิ หนูอยากรู้จริง ๆ ถ้าหนูมีอำนาจความงามอย่างพวกพี่ ชีวิตหนูจะเปลี่ยนไปแค่ไหน”

“หึ ผมไม่รู้หรอกนะว่าหน้าตาที่เปลี่ยนไปให้อะไรกับผมบ้าง เพราะเกือบทั้งหมดในชีวิตที่ผมมีอยู่ตอนนี้ได้มาจากอำนาจอย่างอื่น และคงไม่มีใครมีได้อย่างผม” ผมยิ้มกริ่ม

“พี่นี่พูดจาแปลกดีนะ ขอบคุณนะฮะที่ชวนคุย หนูไม่เป็นไรแล้วละ” ตุ๊ดอ้วนยิ้มให้พร้อมกับปาดน้ำตา ตั้งท่าขอตัวลา
.
.
.
.
“เดี๋ยวก่อนสิครับ” ผมพูดขึ้น

“ถ้าคุณมีอำนาจมากพอที่จะสามารถแก้แค้นพี่คนนั้นได้อย่างง่ายดายแต่ต้องแลกกับการสูญเสียตัวตนไป คุณ จะยอมขายวิญญาณให้กับซาตานไหม”

“ไม่รู้สิฮะ. . .หนูไม่รู้หรอกว่าอย่างไหนมันจะดีกว่ากัน ระหว่างปล่อยวางกับแก้แค้น. . .” เขาก้มหน้าคิดอย่างจริงจัง แม้เข้าใจว่าตอบไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
.
.
.
.
.
“แต่ถ้ามันทำได้ง่ายมากละก็ หนูก็อยากลองมีอำนาจเหนือคนอื่นดูสักครั้ง”
.
ผมชูนิ้วโป้งแทนคำยกย่อง
.
.
.
จากนั้นจึงจ้องน้องตุ๊ดอ้วนที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาเปี่ยมความเอ็นดู จนสติของเขาเคลิ้มล่องลอยสู่ความเวิ้งว้าง
.
.
.
.
ภายในห้องมหรสพโอ่โถง มีผู้เข้าชมละครวันแรกราวสามร้อยคนได้ บัดนี้การแสดงกำลังจะเริ่มขึ้น แสงไฟหรี่ลงช้า ๆ มีการเปิดวิดีทัศน์ตัวอย่างละครและคำแนะนำให้ปิดเครื่องมือสื่อสารขณะรับชม ผู้คนที่คุยเซ็งแซ่ด้วยความตื่นเต้นก็ดี ด้วยความปรีดาที่ได้พบเจอเพื่อนพี่น้องนักศึกษาก็ดี ต่างพร้อมใจกันหรี่เสียงลง จนเข้าสู่เข้าภาวะเงียบสงัด ท่ามกลางความมืด พิธีกรสาวในชุดแซกสีเงินเรียบหรูออกมาพร้อมไฟสปอตไลท์ส่องเป็นทางยาว

เธอกล่าวเกริ่นนำตามพิธี พร้อมเชิญประธานคือคณบดีมอบช่อดอกไม้ กล่าวเปิดงานและทักทายลูกศิษย์ลูกหาพอเป็นกระสัย จากนั้นจึงส่งไมค์คืนให้พิธีกรสาวอีกครั้งเพื่ออัญเชิญคุณผู้ชมเข้าสู่โลกแห่งสุนทรียะ

“เอาละคะ บัดนี้นักแสดงและทุกฝ่ายของเราพร้อมที่จะมอบความสุขความบันเทิงให้แก่ทุกท่านแล้ว ขอเชิญทุกท่านพบกับละครเวทีนิเทศศาสตร์ ครั้งที่ 19 เดอะ สเปิร์ม ควยดำตำเพื่อเธอ! เชิญรับชมค่า!!”

ห้องมืดลงอีกครั้งเพื่อเตรียมตัดเข้าสู่ฉากแรก พิธีกรหญิงถูกฉุดแขนเข้าไปหลังม่าน เสียงโวยวายฟังไม่ได้ศัพท์เล็ดลอดจากหลังเวทีสลับกับเสียงจุ๊ปากให้เงียบ ผู้คนในความมืดต่างฮือฮาทวนกันว่าเมื่อกี้ได้ยินอะไรแปร่งหู ไม่มีใครหูเฝื่อนหรอก คนที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดนี่แหละคือผู้บงการ
.
.
.
นี่แค่ไวน์เรียกน้ำย่อยเท่านั้น

ผมยังมีของเล่นอีกเยอะสำหรับเสกให้โรงมหรสพนี้เปลี่ยนเป็นลานประหาร 
.
.
ในห้องหลังเวที จอยยืนเตรียมพร้อมตามตำแหน่งที่ได้ซักซ้อมไว้ ถึงเธอจะยังไม่ปรากฏในฉากแรก ๆ แต่ก็ต้องแบกรับความเครียดไม่น้อยทีเดียวเพราะรับบทนางเอกซึ่งทุกคนคาดหวังไว้มาก รวมถึงพ่อและแม่ที่มาให้กำลังใจถึงที่ เธอหลับตาทำสมาธิอย่างใจเย็น แม้ว่าข้างหลังมีเหล่าสตาฟยืนชี้หน้าด่าทะเลาะกันเรื่องคำกล่าวเปิดเมื่อสักครู่ก็ตาม นี่เป็นละครเวทีเรื่องแรกในชีวิตและเธอได้รับบทนางเอกเสียด้วย จะทำพังไม่ได้เด็ดขาด เรื่องของคนอื่นช่างมันไว้ก่อน
.
.
“อาหหหห์ อืมม์”
“ใครทำอะไรอีกวะ” จอยคิด
“อืม จ๊วบบบ” อาหห์” 
.
.
“ตั้งสติไว้อีจอย” เธอคิดบอกกับตัวเอง
.
“โอววว อืมม์ จ๊วบ”

“วุ้ย! ใครทำไรน่ะเบา ๆ หน่อยสิ”

ในที่สุดเธอก็ตบะแตก ตรงปรี่เข้าไปหาต้นตอเสียงหลังม่านด้านหนึ่งของห้องแล้วกระชากม่านออกมา
.
.
.
.
โจกับอีกะเทยอ้วนที่ไหนไม่รู้กำลังกอดจูบลูบคลำกันอยู่อย่างดูดดื่ม แลกลิ้นกันพัลวัน
.
.
.
ด้วยความตกใจ เธอชักม่านกลับทันที 
.
.
เสียงนั้นจางหายไป
.

“จอย! เมื่อกี้โวยวายอะไร ทำไมมาอยู่ตรงนี้ ไปประจำที่เดี๋ยวนี้เลย” สตาฟหญิงรุ่นพี่ปีสี่เดินมาตำหนิอย่างไม่พอใจ

“ก็. . . ก็ เมื่อกี้มัน . .” จอยตาค้าง มือไม้ชี้ประกอบคำพูดวนไปมาไม่รู้เรื่อง

“ก็อะไรเล่า” รุ่นพี่ขมวดคิ้ว

“ข้างหลังนี้” เธอชี้ไปที่ผ้าม่าน

“หนูเหรอ” สตาฟรุ่นพี่เปิดม่านออก
.
.
.
ภายในนั้นมีเพียงกระป๋องสีเก่า ๆ ท่อนเหล็กและอุปกรณ์ชำรุดตั้งไว้สะเปะสะปะเท่านั้น

“ไหน ไม่เห็นมีอะไรเลย” เมื่อรุ่นพี่ชำเลืองมองทั่ว ก็ไม่พบวี่แววของสิ่งผิดปกติใด ๆ

“ก็. . .แต่. . .” จอยตะกุกตะกักไม่ได้ศัพท์

“แกอย่าเพิ่งประสาทหลอนไปอีกคน แค่ที่อีหนิงสติแตกเมื่อกี้ก็จะบ้าตายอยู่แล้ว พูดออกไปแบบนั้นได้ไง” รุ่นพี่ดันหลังเข็นให้จอยเดินกลับตำแหน่ง “ไปอยู่ที่เดิมเดี๋ยวนี้เลย อย่าให้พวกพี่ปวดหัวไปมากกว่านี้” จอยทำอะไรไม่ได้นอกจากมองเหลียวหลังไปยังหลังม่านนั้นอย่างตระหนก เธอรู้สึกได้ว่าหัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
.
.
.
มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งในต่างประเทศทำการทดลองเกี่ยวกับพฤติกรรมกลุ่ม โดยให้บุคคลจำนวนหนึ่งเข้ามาในห้องที่มีหน้าม้าจากฝ่ายผู้วิจัยเป็นคนกลุ่มใหญ่ การทดลองเริ่มโดยให้ดูแผ่นป้ายสีหนึ่ง สมมติว่าเป็นป้ายสีน้ำเงิน หน้าม้าจะตอบว่าเป็นสีเขียว ผู้ถูกทดลองรอบแรกต่างตอบด้วยความมั่นใจว่าเป็นสีน้ำเงิน ทว่าเมื่อถูกถามซ้ำอีกหลาย ๆ รอบและหน้าม้าทุกคนต่างตอบว่าเป็นแผ่นป้ายสีเขียว สุดท้ายผู้ถูกทดลองก็จะสูญเสียความมั่นใจ และตอบว่าเป็นแผ่นป้ายสีเขียวตาม ด้วยความรู้สึกไม่กล้าผิดแปลกแตกต่างไปจากกลุ่ม

ผมจะดัดแปลงงานวิจัยนี้มาทดสอบกับปฏิกิริยาของจอย หน้าม้าก็คือ ทุกคนที่อยู่ในโรงละครนี้ซึ่งถูกผมครอบงำจิตไว้แล้ว อีกทั้งยังใช้ตาทิพย์สำรวจทุกความเป็นไปหลังเวที มีไม่ชีวิตใด ๆ เล็ดลอดไปจากสายตาของผมได้
.
.
.
ขณะนี้ เนื้อเรื่องดำเนินไปถึงเกือบกลางเรื่อง จอยหรือแม่มดสาวอลิเซียคอยช่วยเหลือหนุ่มชาวบ้านคนหนึ่งที่เธอแอบรักให้ผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต โดยไม่เปิดเผยตัวตน เนื่องจากกฎเหล็กของเมืองนี้ไม่ยอมรับการใช้ไสยศาสตร์ คนที่เป็นแม่มดจะถูกจับเผาทั้งเป็น

“อลิเซีย เลิกยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้เถอะ แกกำลังจะทำให้ตระกูลเราเดือดร้อน! นี่เรื่องคอขาดบาดตายนะ!” พ่อมดพี่ชายกล่าวตามบท พอผมได้ยินเรื่องตระกูลกับความล่มสลายแล้ว จู่ ๆ ภาพธนิกก็แว่บเข้ามาในหัว บทละครประโยคนี้ช่างตลกร้ายสำหรับผมเหลือเกิน

“พี่ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะขอใช้เวทย์มนต์เพื่อช่วยเขาอีกครั้งเดียวเท่านั้น” จอยตอบ

“แกนี่มันรั้นจริง ๆ ถ้าถูกจับได้ล่ะก็ องค์ราชาไม่ปล่อยพวกเราไว้แน่! แกจะตายก็ไปตายคนเดียว! อย่าให้พ่อแม่กับพี่ต้องเอาชีวิตมาแลกกับความเห็นแก่ตัวของแกไปด้วย” พ่อมดพี่ชายทุบโต๊ะโครม ตามบทที่ผมสะกดจิตให้สตาฟคนหนึ่งเล่าให้ฟัง จอยจะต้องเงียบไปสักพัก แล้วจึงหันหน้ามาทางคนดูส่งสายตาเรียกร้องความเห็นใจ

ทว่าจังหวะนี้ที่หันมานี้เอง จอยพบว่าแถวหน้าสุดมีความปกติบางอย่างเกิดขึ้น
.
.
.
“อาห์ เสียว” ตุ๊ดอ้วนกำลังก้มหัวลงอมควยให้โจแฟนของเธอ โจหลับตาพริ้มอย่างสบายอารมณ์ จอยถึงกับสะดุ้งและชะงักงันไปชั่วขณะ

“จ๊วบ จ๊วบ” เสียงสูญญากาศที่เกิดจากการปั๊มควยสูบขึ้นลง ๆ ดังจนเข้าหูเธอถึงบนเวที

เธอขยี้ตาครั้งหนึ่ง เมื่อมองอีกครั้งก็พบว่าภาพนั้นยังคงอยู่ที่เดิม คราวนี้ตุ๊ดอ้วนดูดพวงไข่ ไซร้ง่ามขาแฟนสุดหล่อของเธอ สลับกับลงลิ้นที่ปลายควยดูดเม้มเป็นจังหวะจ๊วบจ๊าบ

สิ่งที่ทำให้เธอสับสนยิ่งกว่านั้นคือ ทุกคนในโรงละครไม่มีใครสังเกตถึงความผิดแปลกนี้เลย เธอจึงยื่นมือชี้ให้คนบนเวทีเห็น

“จอย ลืมบทเรอะ” ผู้รับบทพ่อมดพี่ชายเข้ามากระซิบ “พูดต่อได้แล้ว เงียบนานไปแล้วรู้ไหม”

“แกไม่เห็นเหรอ ข้างล่างอ่ะ” จอยชี้ สับสนจนกล้ามเนื้อใบหน้าบีบบิดเบี้ยว

“ไม่เห็นมีอะไร เล่นต่อได้แล้ว” พ่อมดพี่ชายจิกตาใส่

“โอย แรง ๆ เลย เสียวควยโว้ย” โจร้องลั่นเมื่อถูกลิ้นคู่ขาตวัดรอบเส้นสองสลึง แต่คนทั้งโรงละครไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใด ๆ นอกจากรอคอยให้ละครดำเนินต่อไป

“มันเป็นภาพลวงตา มันเป็นภาพลวงตา” จอยหลับกัดฟันบอกกับตัวเองในใจ
.
.
.
.
“ขอโอกาสให้ฉันเถอะพี่ ฉันรักเขาจริง ๆ รักไม่น้อยไปกว่าคนในครอบครัวเราเลย” ในที่สุดเธอก็ต่อบทได้ และเมื่อลืมตาอีกครั้ง ที่นั่งตรงนั้นก็ว่างเปล่าไปแล้ว

“นี่แกกล้าเอาพ่อแม่พี่น้องไปเปรียบกับไอ้คนพรรค์นั้นเชียวรึ!” พ่อมดพี่ชายตวาด “ถ้าอยากช่วยมันนักล่ะก็ ย่อมได้ แต่แกต้องออกไปซุกหัวนอนที่อื่น ที่นี่ไม่ต้อนรอบคนนอกคอก! บ้านหลังนี้ไม่มีสมาชิกชื่ออลิเซียอีกแล้ว!!”

หลังบทสนทนาสิ้นสุด ม่านจึงปิดลงอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนสู่ฉากต่อไป
มีนกำลังกระวนกระวายเดินวนไปมาในห้อง หลังจากกลับมาจากบ้านของเต๋อ มือถือของเธอหล่นหายไปที่ไหนก็ไม่อาจทราบได้ นอกจากเรื่องโทรศัพท์แล้ว ยังมีอีกเรื่องที่ต้องกังวลใจ นั่นคือเธอไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเต๋อได้แต่โดยดี และดูท่าเต๋อพร้อมเป็นหมาบ้าฟัดทุกคนที่ขวางทางไม่ว่าจะเป็นคนจากเทศบาล พระ หรือสัตวแพทย์ ความเป็นผู้มีพลังพิเศษด้วยกันไม่ช่วยให้เต๋อเปิดใจยอมรับพวกพ้องเลย

คิดได้ดังนั้นจึงใช้โทรศัพท์บ้านโทรไปหาธนิกเพื่อหารือ

“ฮัลโหลพี่มีน?” ธนิกรับสาย

“นิก มือถือพี่หาย โทรเข้าเครื่องแล้วไม่มีใครรับเลย อาจจะตกอยู่แถวบ้านเต๋อ เธอไปเป็นเพื่อนเอาคืนมาให้หน่อยสิ” เธอพยายามใช้น้ำเสียงน่าฟังที่สุด

“แถวบ้านเต๋อ? พี่ไปทำอะไรที่นั่นครับ?”

“พี่ไปสอดแนมมา เถอะน่านิก นะ ๆ ช่วยพี่หน่อย”

“แล้วทำไมพี่ไม่กลับไปเอาเองล่ะครับ? ไม่มีรถ?”

จะว่าน้ำท่วมปากก็ได้ ใครจะกล้าบอกว่าไปแอบคุยกับเต๋อมา แถมยังมีแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายตรงข้ามทั้งนั้น ลงทุนไปตั้งเยอะ แทนที่จะซื้อใจได้กลับกลายเป็นทำคุณบูชาโทษ

“พี่กลัวเต๋อ”

“กลัวอะไรพี่มีน”

“เธอก็เห็นว่าเขาสั่งให้คนทำอะไรก็ได้ ถ้าสั่งคนมาทำร้ายพี่ละ”

“ไม่มีเหตุผลน่าพี่มีน พี่ไม่เคยไปทำอะไรมันไม่ใช่เหรอ ออกจะเป็นแม่พระสำหรับมันด้วยซ้ำ ไม่งั้นผมเล่นหนักมือจนมันตายไปแล้ว”

“อย่าเพิ่งถามเลย ช่วยพี่หน่อยนะนิก ไม่มีมือถือแล้วพี่ลำบากนะ” เธอยังคงอ้อนวอน
.
.
.
อีกด้าน ธนิกกำลังยืนฉี่อยู่ในห้องน้ำสาธารณะแห่งหนึ่ง จังหวะที่กำลังปลดทุกข์อย่างสบายใจ เขาเงยหน้าขึ้นมุมสูงและได้เห็นภาพที่ไม่คาดคิด
ตรงช่องระบายอากาศ มีดวงตาคู่หนึ่งหลุกหลิกไปมาอย่างกระหายใคร่รู้
.
.
.
แต่ธนิกสนองกลับอย่างสุขุมกว่าทุกครั้ง
.
.
“งั้นก็ได้ครับ ผมจะไปเป็นเพื่อน เดี๋ยวขอวางสายก่อนนะครับ ติดธุระอยู่” เขารีบตัดบทวางสายพร้อมกดน้ำชำระโถปัสสาวะ และเงยหน้าส่งยิ้มให้เจ้าของดวงตาคู่นั้น ไม่ใช่รอยยิ้มฉันมิตร
.
.
แต่เป็นรอยยิ้มกระหายเลือดประหนึ่งพรานหนุ่มคึกคะนองก่อนออกล่ากระต่าย
.
.
.
ธนิกรูดซิปกลับอย่างเร็วไวและวิ่งพรวดออกจากห้องน้ำ ท่าทางเอาเรื่องถึงเลือดถึงเนื้อ นี่ไม่ใช่คำเปรียบเปรยเกินความเป็นจริงเลยสำหรับผู้มีอำนาจไซโคคิเนซิสระดับสูง
.
.
“รู้ตัวจนได้” อีกฝากนอกห้องน้ำ เกย์วัยกลางคนที่ถ้ำมองธนิกมาตลอดรีบโดดลงมาจากเก้าอี้แล้ววิ่งหนีชนิดไม่หันกลับไปมอง
.
.
“กร๊อบ!”

“อ๊ากกกกกกกกกกกกก” ขาข้างหนึ่งของเกย์นักถ้ำมองบิดหัก เขาทรุดตัวล้มไม่เป็นท่า

“น่าดีใจนะครับ ของ ๆ ผมจะเป็นภาพสุดท้ายในชีวิตที่คุณจะลืมไม่ลง”

“โอยยยยย! ผมไม่ได้แอบดู” เขานอนกุมขาดร้องโอดครวด

ธนิกขยับกรอบแว่นให้เล็งเป้าโจมตีเหยื่อได้แม่นยำ

“ขอเก็บค่าชมของส่วนตัวผมนะครับ”

นัยน์ตาทั้งสองของชายดังกล่าวปูดโปน และ. . .กระเด็นหลุดนอกเบ้าหล่นพื้นเด้งเป็นลูกชิ้นปิงปอง

“อว๊ากกกกกกกกกก!” เหยื่อร้องอย่างทรมานสาหัส ธนิกเหยียบดวงตาที่ถูกกระชากออกมาจนแหลกคารองเท้า
.
.
.
.
“ถ้ามีปัญญาให้ตำรวจสเกตซ์ภาพคนร้ายได้ก็เอานะ จำหน้าผมไว้แม่น ๆ ล่ะ”
.
.
.
.
.
ขณะนี้ละครเวทีดำเนินมาครึ่งค่อนเรื่องแล้ว จอยยังคงสวมบทบาทแม่มดมนต์ดำผู้มีหัวใจบริสุทธิ์ได้อย่างลื่นไหลเป็นธรรมชาติ

“เธอคอยช่วยเหลือผมมาตลอดสินะ ผมจะตอบแทนอย่างไรดี ทั้งชีวิตชดใช้ให้ก็คงไม่หมด” พระเอกหนุ่ม

“อย่าพูดอย่างนั้นสิคะไมเคิล” จอยประสานสายตากับพระเอกหวานซึ้ง
.
.
.
แต่ในความเห็นของผม มันเลี่ยนเกินไป เหมือนกินโดนัทเคลือบน้ำตาลพร้อมโกโก้ปั่นใส่วิปครีม ต้องลดความหวานเลี่ยนด้วยรสเผ็ด ๆ เปรี้ยว ๆ หน่อยท่าจะดี
.
.
.
เสียงอะไรบางอย่างดังเอี๊ยดอ๊าดน่าเวที

“แอร๊ยยย! เด้ามันส์มากอีดอก! ตูดแม่งตอดดีจริง ๆ อีฉิบหาย!”

จอยหันขวับไปยังกลุ่มผู้ชม
.
.
.
แฟนของเธอกำลังนั่งเทียนขย่มตอให้ตุ๊ดอ้วนรุ่นน้อง ทั้งคู่ถอดเสื้อผ้าล่อนจ้อน นี่เป็นภาพเกินที่เธอจะรับไหว โจเป็นชายแท้รูปหล่อตามที่เธอและทุกคนเข้าใจ ไฉนจึงเป็นแบบนี้ได้

“โอ๊ย เย็ดกูแรง ๆ เลยอีอ้วน!”

“ไม่บอกกูก็ทำอยู่แล้วอีสัตว์! หุบปากให้เย็ดเงียบ ๆ ไป” ตุ๊ดอ้วนจับเอวโจซึ่งตัวเล็กกว่าลอยขึ้นเล็กน้อย ทำให้จอยเห็นควยตุ๊ดรุ่นน้องกำลังชำเรารูดากแฟนเธออย่างไม่ปราณี มันผลุบเข้าผลุบออกกระทบกันดังพั่บ ๆ ๆ ปนเปกับเสียงที่นั่งสั่นไหวไปมา

“อร๊ายยยยยยย!” เธอร้องลั่น

“เป็นไรวะ” พระเอกเดินเข้าไปถามไถ่

บรรดาผู้ชมยังคงสงบนิ่ง อาจเข้าใจว่าเป็นไปตามบท

“พวกมึงไม่เห็นเหรอว่าข้างล่างมันทำอะไรกันอยู่! หูหนวกตาบอดกันไปหมดรึไง!!!” จอยตวาดลั่นโรงละคร เกิดเสียงฮือฮาในหมู่ผู้ชมที่เริ่มสังเกตว่าจอยแสดงนอกบท

พระเอกหนุ่มกวาดตามองทั่วโรงละคร แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ นี่ก็เป็นไปตามบท . . . ที่ผมเขียนขึ้น

“ไม่เห็นมีอะไรเลยจอย แกสงบสติอารมณ์ก่อน ละครจะล่มเพราะแกนั่นแหละ!”

“เปลี่ยนท่าเร็วอีดอก เสียวกันต่อ” ตุ๊ดอ้วนจับโจเล่นท่าหมา หันหลังไปทางเวทีให้จอยเห็นแฟนของเธอถูกกระแทกตูดจากด้านหลังชัด ๆ

โจยึดพนักเก้าอี้ไว้รองรับแรงกระแทกจากการกระหน่ำเย็ดของตุ๊ดร่างควาย จึงเกิดเสียงอี๊ดอ๊าด ๆ ดังมากพอที่จะได้ยินอย่างทั่วถึง แก้มก้นสะโพกไซส์บิ๊กของตุ๊ดอ้วนกระเพื่อมไปมาตามระดับความถาโถมโหมซัด โจร้องครวญครางอย่างเป็นสุข สุขที่ไม่เคยลิ้มรสมาก่อนในชีวิตที่ต้องโดนกะเทยอัดตูด

ด้านบนเวที จอยตัวสั่นระริกด้วยความเดือดดาลและสับสน จริงคือเท็จ? เท็จคือจริง? เธอไม่อาจทนอยู่ในสภาพเหมือนเป็นมองเห็นผีแต่เพียงผู้เดียวนี้ได้อีกต่อไป จอยถอดรองเท้าที่ใช้ในการแสดงเขวี้ยงทิ้งไปคนละทาง

“พอที! กูจะลงไปลากคอมันกับมือ! จะได้รู้ว่าที่บ้าน่ะพวกมึงหรือกู!” เธอวิ่งพรวดพุ่งไปข้างหน้าเพื่อโดดลงจากเวที

แต่พระเอกคว้าแขนกลับมาไว้ได้ทัน

“อีเวร! แค่นี้ก็ทนไม่ได้!! ไม่มีความเป็นมืออาชีพเลยนะมึง!!” ใบหน้าหวานละมุนของนักแสดงพระเอกกลับแดงก่ำด้วยโทสะราวกับแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน 
“โอ๊ย!” เขาเหวี่ยงแขนจอยกระเด็นกลับไปกลางฉาก

“เอาหลักประหารมา! อีนี่เป็นแม่มด! มันเห็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น! เผามัน!” พระเอกป้องปากตะโกน

ผู้แสดงเป็นนายทหารในเมืองยกเสาเหล็กพร้อมฐานออกมาจากด้านข้างเวที ความจริงฉากเผาแม่มดนางเอกตามบทนั้นต้องเก็บไว้ท้ายสุด แล้วพระเอกก็คงไม่ทำกับนางเอกเช่นนี้ แต่ก่อนที่มันจะมั่วไปกว่านี้ ผมต้องชิงมั่วก่อนให้อีกฝ่ายตั้งตัวไม่ติด

“พวกมึงเป็นอะไรกันหมด!!?” จอยหันไปมาด้วยความสับสนและหวาดกลัว นายทหารร่างกำยำสองคนจับจอยดึงขึ้นมาจากพื้นแล้วมัดกับเสาหลักประหาร

แต่นี่คือการมัดจริง ๆ อย่างแน่นหนาเสียด้วย

“กรี๊ดดดดดด!” จอยร้องลั่น

พ่อกับแม่ของเธอลุกจากที่นั่งแล้ววิ่งไปหาลูกสาวบนเวที จอยเพิ่งนึกได้ว่ายังมีพ่อกับแม่เปรียบเหมือนแสงสว่างปลายอุโมงค์

“ป๊า หม๊า ช่วยหนูด้วย! มันเป็นบ้ากันไปหมดแล้ว!!” 
.
.
.
พ่อและแม่จอยมองพินิจร่างลูกสาวหัวจรดปลายเท้าอย่างเวทนา
.
.
.
ผู้เป็นแม่เดินไปยังหน้าเวทีโดยมีแสงไฟสาดส่องร่างเป็นจุดรวมสายตา

“ดิฉันขอโทษด้วยที่เลี้ยงลูกไม่ดี อีดอกนี่ชอบตอแหล มารยาสาไถย ดูถูกเพื่อนอื่น ไม่ใช่ว่าดิฉันไม่ใส่ใจ แต่นึกว่าพอโตแล้วมันจะมีหัวคิดเลิกนิสัยเหี้ย ๆ ไปเอง ที่ไหนได้ มันยังคงตอแหลว่าเห็นนั่นเห็นนี่จนละครล่มหมด ในฐานะแม่ที่เบ่งหีคลอดอีดอกนี่ออกมา ดิฉันรู้สึกผิดอย่างหาประมาณมิได้”
.
.
.
จอยอ้าปากเหวอ

พ่อจอยกล่าวขึ้นบ้าง “เราจะขอชดใช้ความผิดที่ทำให้พวกท่านเสียอรรถรสการรับชม โดยการแสดงตลกคั่นรายการชั่วคราวเป็นการเอนเตอร์เทนเมนท์ท่านผู้ชม!” เขารับหมวกทรงสูงแบบนักมายากลขึ้นมาสวม พร้อมกันนั้น เสียงดนตรี Billy Hill Theme แสนสนุกดังขึ้นทำลายความเงียบอึมครีม ผู้ชมหัวเราะเกรียวกราว ปรบมือผิวปากอย่างชื่นชม บางทีการแสดงนี้อาจน่าสนใจกว่าละครเห่ย ๆ นี้ก็เป็นได้
ผู้เป็นแม่เดินไปยังหลักประหาร และกระชากชุดที่จอยสวมอยู่ฉีกออกเป็นชิ้น ๆ พร้อมทั้งชุดชั้นใน
.
.
.
“แม่!! ทำอะไร!”
.
.
.
“หุบปากอีลูกเวร!” เธอใช้เศษเสื้อผ้าที่ฉีกออกมัดปากลูกสาวไว้

พ่อของจอยเริ่มการแสดงขั้นแรก ๆ เขาหยิบปากกาเมจิควาดหน้าจอย เติมหนวดจิ๋มฮิตเลอร์ และลากผ่านไปตามเรือนร่าง เขียนหัวนมให้เป็นลูกตา สะดือเป็นจมูก และหีให้เป็นปากมีฟันแหลมคม จอยดิ้นร่างขัดขืนหรือบ้าจี้ก็ไม่อาจทราบได้

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ” ผู้ชมหัวเราะท้องแข็ง

“รายการต่อไปนะคะ” คุณแม่หยิบพลุไฟเย็นออกมากวัดแกว่งไปมา คนดูลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น

แม่จอยเสียบไฟเย็นสองสามอันเข้ากลางหีลูกสาว และสั่งให้นายทหารช่วยบีบขาให้หีหนีบไฟเย็นเอาไว้ เธอขัดขืนไม่ได้เลย
.
.
“วันนี้วันเกิดใคร แฮปปี้เบิร์ธเดย์กันเลยค่า!” คุณแม่จุดไฟเย็น กลายเป็นว่าหีจอยนั้นสามารถพ่นประกายไฟแสงสีสวยงามได้ ไฟเย็น ๆ ค่อย ๆ ลุกลามใกล้บริเวณนั้นทุกที ๆ
.
.
.
น่าตกใจจริง ๆ มีผู้ชมในที่นี้เกิดวันนี้ซะด้วย ร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดกับเพื่อนปรบมือตามจังหวะกันเอ็ดตะโรเป็นที่ครื้นเครง เอาละ ผมปรบด้วยคนก็ได้

ไฟเย็นดับมอดลงไปก่อนเมื่อเพลงจบพอดี ทำเอาจอยเสียวไส้ นี่คือกรรมของคนที่ทำให้ผู้อื่นเป็นตัวตลก บัดนี้ลูกหนี้ของผมเป็นได้แค่จำอวดหน้าม่านชั้นต่ำ
.
.
.
“รายการสุดท้ายครับ ขอจัดให้คุณลูกบังเกิดเกล้าเป็นพิเศษ” คุณพ่อจอยขอชามอาหารจานสตาฟมาสองชาม แล้วยืนเยี่ยวใส่ชามตรงนั้น ส่วนคุณแม่จอยก็ทำเช่นกัน เธอนั่งยองคร่อมชามแล้วปลดปล่อยน้ำฉี่ออกมา
.
.
.
“ไม่มีพรใดประเสิรฐไปกว่าพรของผู้เป็นบุพการี” คุณแม่กล่าวขึ้น

ทั้งสองคว่ำชามน้ำเยี่ยวรดรินตัวลูกสาวประหนึ่งกรวดน้ำ สองตาของจอยเปี่ยมด้วยน้ำตาแห่งความบอบช้ำ

“ขอให้เจริญ ๆ นะคะลูก เลิกตอแหลดอกทอง อย่าเที่ยวไปดูถูกใครเค้าอีกนะคะ”

“ถ้าลูกเหี้ยกับคนอื่นอีก พ่อกับแม่ก็จะเหี้ยกับลูกแบบนี้อีกนะ จำใส่กะโหลกไว้”
สองสามีภรรยายิ้มแก้มปริอย่างมีความสุข เป็นภาพกิจกรรมครอบครัวที่หาดูที่ไหนไม่ได้ที่ไหนอีกแล้วบนโลก
.
.
.
“เราเติมน้ำมันให้แล้วครับ ขอเชิญทุกท่านสุมฝืน” พ่อจอยกล่าวทิ้งท้ายแล้วเดินจูงคุณแม่ลงจากเวที การแสดงคั่นรายการจบลงแล้ว ในฐานะที่ผมเป็นผู้ประพันธ์ ต้องดำเนินต่อให้จบอย่างบริบูรณ์

ฉากเผาแม่มดนางเอกนั้นถูกดัดแปลงเล็กน้อย ผมถ่ายทอดคำสั่งผ่านโทรจิตถึงทุกคนในโรงละคร “หยิบฝืนออกมาครับ พิธีกรรมเผาแม่มดเริ่มแล้ว” 
.
.
.
แหมะ!

จอยรู้สึกเจ็บที่ใบหน้า เท่านั้นไม่พอ มันพ่วงด้วยกลิ่นเหม็นสุดบรรยาย
กลิ่นไข่เน่า!?

“ขว้างโดนด้วยโว้ย!” ผู้ชมคนนึงโพล่งขึ้น
“กูเอามั่ง ๆ ๆ”
“ ฮ่า ๆ ๆ หนุกว่ะ”

ไข่เน่าลูกแล้วลูกเหล่าที่แจกพร้อมสูจิบัตรถูกขว้างปาไปกลางหลักประหาร ผู้คนครื้นเครงเฮฮากว่าซุ้มปาเป้าตามงานวัดเสียอีก ปาถูกมั่ง ไม่ถูกมั่ง เฉียด ๆ มั่ง แต่ใบที่โดนจัง ๆ ก็ไม่ใช่ว่ามีน้อย เศษเปลือกไข่เกาะตามเนื้อตัวจอย และเต็มไปด้วยคราบคาวเหลืองสีช้ำเลือดช้ำหนอง กลิ่นไข่เน่าตลบอบอวลทั่วเวที จอยทำได้เพียงก้มหน้าร้องไห้น้อมรับชะตากรรมที่เธอคิดว่ามนุษย์ทั้งโลกช่างเลวทรามไร้เหตุผล
.
.
.
เห็นทีต้องปรากฏตัวเพื่อเป็น “เหตุผล” ให้เธอหายสงสัย
ผมเดินบีบจมูกขึ้นไปบนเวทีพร้อมสวมถุงมือสำหรับแกะเศษผ้าที่ใช้มัดปากเธอ
.
.
.
ทันทีที่ปลดผ้าออก สัญลักษณ์แรกผมสื่อกับเธอคือ “รอยสักอัปยศ”
.
.
.
“แก. . .” จอยได้สภาพอิดโรยบอบช้ำนึกถึงคำเตือนของเกรซ แต่กระนั้นก็จับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่ดี ไม่มีทางใช้สามัญสำนึกของคนธรรมดาวิเคราะห์ได้เลย ว่าผู้คนจำนวนมากพร้อมใจกันรุมเธอเละเทะขนาดนี้ได้ด้วยวิธีใด
.
.
.
“รู้สึกอย่างไรเมื่อต้องกลายเป็นตัวตลกให้คนอื่นเหยียบย่ำ” ผมเอ่ยขึ้น
.
.
.
“ไม่ต้องตอบผมหรอกนะ ตอบกับตัวเองก็พอ” 
.
.
สภาพจิตจอยใกล้เคียงกับคนบ้าเข้าไปทุกที ในหัวมีแต่ความว่างเปล่าขาวซีด เธอทำได้เพียงทรงตัวอยู่กับหลักประหารที่เต็มไปด้วยเชื้อเพลิงจากผู้ชมอย่างสิ้นสติสมประดี
.
.
เอาล่ะ ผู้จุดไฟในฉากสุดท้ายควรจะออกมาปิดม่านได้แล้ว
.
.
.
ผมดีดนิ้วเรียกน้องตุ๊ดอ้วนออกมาท่ามกลางความมืด ร่างของเขาปรากฏชัดขึ้นเมื่อย่างสู่เบื้องหน้าเวที
.
.
.
“ขอโทษนะพี่จอย ตูดพี่โจแซ่บเวอร์อร่อยเหาะจริง ๆ หนูไม่คิดจะแย่งทำผัวหรอกนะคนเหี้ย ๆ อย่างเนี้ยะ ยืมวันเดียวไม่ว่ากันโน๊ะ”
.
.
.
ตุ๊ดอ้วนปาถุงยางที่ใช้เสพสมไปยังแม่มดนักโทษ

มันแปะกลางหน้าผากจอยพอดี น้ำเชื้อจากกะเทยควายเล็ดไหลจากถุงยางผ่านเปลือกตาจมูกและริมฝีปาก
.
.
ที่ยิ่งกว่านั้นคือเศษอุจจาระที่ติดถุงยางอันมาจากการเปิดซิงประตูหลังแฟนเธอ จอยไม่สามารถสะบัดหน้าไล่ออกไปได้
.
.
.
และในที่สุดก็ไหลเข้าปาก
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!” 
.
.
“เริ่ดนะคะ! สวยค่ะอีดอก!” 
.
.
เสียงปรบมืดดังเกรียวกราวประกาศก้องชัยให้แก่ผู้จุดเพลิง แสงไฟสาดส่องไปยังแม่มดที่ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดั่งถูกเปลวร้อนแผดเผา
พิธีกรรมขับไล่ความมืดสิ้นสุดลงแล้ว แต่ก็ไม่ได้ขับไล่ไปไกลนักหรอก
.
.
.
มันก็สิงอยู่ในใจเราทุกคนนั่นแหละ
.
.
.
จบตอนที่ 16 เผาแม่มด


++++++++++++++++++++++++++++++++