วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2562

แค้นวิปริต จิตสั่งกาม : ตอนที่ 18 รู้ทั้งรู้แต่พูดไม่ได้

ตอนที่ 18 รู้ทั้งรู้แต่พูดไม่ได้
.
.
.
เป็นเวลานานกว่าห้านาทีแล้วที่เด็กหนุ่มยืนอยู่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่น
.
.
.
ณัฐด้อม ๆ มอง ๆ อย่างโลเลหลังจากที่ตอบรับคำเชิญงานเลี้ยงขอบคุณของเต๋อ นี่คือการเผชิญหน้ากับผู้มีพลังโทรจิตเป็นการส่วนตัวครั้งแรก ซึ่งณัฐเองก็คิดว่ามีโอกาสอยู่ไม่น้อยที่คนเหลี่ยมจัดอย่างเต๋ออาจกลับลำหันมาเล่นงานเขาเสียเอง แต่แผนที่เขาคิดไว้มาถึงขนาดนี้แล้วคงต้องเสี่ยง หากปอดแหกอยู่อย่างนี้ย่อมคว้าน้ำเหลวเพียงอย่างเดียว
.
.
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเฮือกยาว ก่อนกลั้นใจเปิดประตูเข้าร้าน
.
.
ภายในร้านเงียบเชียบ ไร้วี่แววการต้อนรับขับสู้ ทั้งที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งนี้ขึ้นชื่อมาก วันนี้กลับไม่มีลูกค้า เปิดไฟเพียงสลัว จนณัฐจินตนาการเพ้อเจ้อไปว่าหลังบาร์ซูชิสีไม้มะฮอกกานีนั่นอาจมีซอมบี้แอบแทะศพเจ้าของร้านอยู่ก็เป็นได้ เด็กหนุ่มกุมกระเป๋านักเรียนแน่นราวกับจะยึดเป็นเกราะกันกระสุนก็ไม่เชิง
.
.
.
“คุณณัฐใช่ไหมคะ คุณเต๋อรออยู่ในห้องวีไอพีชั้นบนค่ะ เชิญทางนี้เลยค่ะ” ณัฐสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นหญิงสาวพนักงานต้อนรับในชุดกิโมโนเดินดุ่มออกมาจากมุมมืด เธอจัดแจงนำทางณัฐสู่ห้องที่จัดเตรียมไว้เป็นพิเศษ
.
.
.
ประตูบานเลื่อนกระดาษเปิดออก 
.
.
ไม่ทันจะได้สบตากับเจ้าภาพ เด็กหนุ่มก็ขวัญหนีดีฝ่อเสียแล้วกับภาพเบื้องหน้า
.
.

กระทาชายวัยรุ่นร่างกำยำนอนเปลือยกลางโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ในห้องรับประทานอาหารสไตล์ญี่ปุ่น จิตรกรรมฝาผนังและป้ายผ้ากลอนไฮขุที่ประดับประดาไม่ดึงดูดสายตาเท่าชายผู้นี้ เหนือเรือนร่างเปลือยเรียงรายด้วยซูชิและปลาดิบนานาชนิดรองด้วยใบไม้ แววตาของชายผู้นั้นว่างเปล่า แม้ณัฐเคยเห็นความสามารถของเต๋อเพียงครั้งเดียวแต่ก็อนุมานได้ว่าเป็นผลพวงจากพลังโทรจิตของเจ้าตัวอย่างไม่ต้องสงสัยเลย เด็กหนุ่มพนมมือไหว้อีกฝ่ายสั่นงันงกเหมือนไหว้ยักษ์มากกว่าไหว้ผู้ใหญ่
.
.
“สวัสดีครับณัฐ พี่จำได้ว่าเราไม่ชอบอยู่ในที่ที่มีคนเยอะ พี่เลยเหมาทั้งร้านให้ ลูกค้าวันนี้มีเพียงแค่เราสองคน” เต๋อรับไหว้พร้อมยกสาเกขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์
.
.
.
“คนคนนี้. . .” ณัฐเอ่ยขึ้น แต่เต๋อย่อมรู้ว่าเด็กหนุ่มต้องการถามเรื่องใด “เจ้าบ้านี่ขับรถไม่เปิดไฟเลี้ยวจนพี่เกือบชนท้าย พี่บีบแตรแล้วยังมีหน้าลดกระจกชูนิ้วกลางแจกพี่อีก เลยขอยืมตัวมาใช้งานนิดหน่อย อย่าไปใส่ใจเลยครับ เขาเต็มใจอยู่แล้วล่ะ”
.
.
“ต. . . ต. . .ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือครับ” ณัฐถามด้วยอารมณ์เวทนาเหยื่ออำนาจโทรจิต
.
.
.
“ถ้าเป็นธนิก หมอนี่คงถูกบีบอัดเป็นเนื้อเดียวกับรถแล้วล่ะ ดังนั้น การกระทำของพี่ถือว่าจิ๊บจ๊อยมากเมื่อเทียบกับพี่ชายเรา หรือไม่จริง?” เต๋อยอกย้อนแฝงอารมณ์ขัน แต่ณัฐไม่ขำด้วย ภาพชายร่างกำยำเปลือยแผ่อ้าซ่าเสมือนจานอาหารทำให้เขาสะอิดสะเอียนจนกระเพาะอาหารเกิดอาการปฏิเสธ 
.
.
“ขอบคุณครับที่เตือนพี่เรื่องร่ม ไม่งั้นพี่คงลำบากแย่ ถ้าพี่มองเห็นอนาคตแบบเราได้ก็คงดีไม่น้อย” เต๋อรินสาเกใส่ถ้วยแก้วส่งให้ณัฐ เด็กหนุ่มรับไว้ด้วยอาการประหม่า เขาไม่ดื่มแอลกอฮอล์ แต่ถึงกระนั้นก็ฝืนใจจิบนิดหน่อยด้วยความเกรงใจ รสร้อนสาเกอบอวลภายในปากจนไอออกมา
.
.
.
“ไม่ชอบก็ไม่ต้องดื่ม พี่ไม่บังคับ ว่าเรื่องธุระของเราดีกว่าครับ ที่เป็นฝ่ายติดต่อพี่มาเองอย่างนี้ มีเรื่องสำคัญสินะครับ” เต๋อตัดบทเข้าประเด็นธุรกิจ ณัฐพยักหน้ารับ
.
.
“ผ. . .ผม. . .” ณัฐอ้ำอึ้ง แต่เต๋อก็ไม่สามารถใช้โทรจิตอ่านใจพวกเดียวกันได้
.
.
“มีอะไรพูดมาเลยครับ พี่รับฟังได้ทุกอย่าง เราเป็นคนช่วยชีวิตพี่นี่นา พี่ไม่ลืมหรอกครับ” เต๋อยิ้มส่งพลางใช้ตะเกียบคีบซูชิหน้าไข่กุ้งจากจานมนุษย์ เหยื่อของเขาดีดเล็กน้อยเพราะจั๊กจี้ ภาพอุจาดนี้ยิ่งทำให้ณัฐพูดลำบากเข้าไปอีก
.
.
“เอ่อ. . . พี่ครับ. . .”
.
.
“ถ้าไม่พูดตรง ๆ พี่ก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าณัฐต้องการให้พี่ช่วยเรื่องอะไร. . .” เต๋อแทรกพร้อมคีบซูชิจิ้มน้ำซอสก่อนใส่เข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
.
.
.
“ผม. . .อยากเป็นอิสระ . . . จากพี่นิกครับ” ณัฐรวมความกล้าบอกเป้าหมายในที่สุด
.
.
“ฮะ ฮะ ฮะ” เต๋อกระแอมหัวเราะ และดังขึ้นเรื่อย ๆ อย่างสะใจ “ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ!!!” 
.
.
“เดาไว้ไม่ผิด คิดอยู่เหมือนกันว่าใครจะอยากเป็นทาสเผด็จการแบบนายคนนั้น” เต๋อเสริมและเข้าประเด็นต่อทันที “ต้องการให้พี่คุ้มครองใช่ไหมล่ะ อยู่กับเขาคงถูกกดขี่ดูไม่จืดเลยล่ะสิครับ”
.
.
“ย. . .ยิ่งกว่านั้นครับ” เต๋อเบิกตากระหายใคร่รู้เมื่อได้ยินเช่นนั้น 
.
.
“ผมอยากให้พี่เกลี้ยกล่อมพี่นิก. . . หรือไม่ก็ ทำให้เขาหมดสภาพกดขี่คนอื่นไปเลยครับ” 
.
.
“หมายถึงฆ่าหรือ?” เต๋อแทรก แต่ณัฐรีบออกตัวไว้ก่อน “ม. . . ไม่ใช่นะครับ ณัฐไม่ต้องการขนาดนั้น แค่อยากให้เขาไม่มาวุ่นวายกับชีวิตผมอีกต่อไปน่ะครับ”
.
.
เต๋อยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ไม่มีอะไรดีไปกว่าการมีผู้ช่วยที่มองอนาคตได้แม่นยำ 
.
.
“ฉลาดคิดมาก คงรู้สินะครับว่าการทำร้ายคนในแนวของธนิกกับพี่ ของใครน่าเกรงขามกว่ากัน” ณัฐพยักหน้าหงึก ๆ . . .ในความคิดของเขา หากเปรียบธนิกเป็นฆาตกรเลื่อยไฟฟ้าเท็กซัสเชนซอว์ หั่นเหยื่อเป็นชิ้น เครื่องในไหลพุ่งเลือดสาดกระจุยกระจายเละเทะ แนวของเต๋อก็อาจเปรียบได้กับแจ็คเดอะริปเปอร์ที่สังหารคนอย่างมีศิลปะ แถมทิ้งร่องรอยท้าทายอำนาจกฎหมายอย่างแยบคาย โดยในที่สุดตัวเองไม่ต้องรับผิดเลยสักอย่าง. . . สักอย่างเดียวจริง ๆ ใครจะเชื่อว่าคนใช้โทรจิตคล่องขนาดเต๋อมีตัวตนอยู่จริง ๆ บนโลก ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือใช้ความสามารถเพื่อแก้แค้นคนอย่างเหนือจินตนาการที่คนทั่วไปจะคาดเดาได้ 
.
.
“ผม. . .ยินดีจะช่วยพี่ทุกอย่าง. . . แลกกับอิสระ” ณัฐพูดต่อ
.
.
“แต่พี่เป็นคนใจร้ายนะครับ คิดว่าจะทำงานร่วมกันได้เหรอ” เต๋อเสียดสีตนเองพลางยกสาเกขึ้นจิบอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองจับจ้องเด็กหนุ่มเพื่อหยั่งเชิง แน่นอนว่าณัฐหลบตาด้วยความอึดอัด
.
.
“เพื่อพิสูจน์ว่าเราจะอยู่ด้วยกันได้โดยไม่เป็นลมหรือเสียสติไปซะก่อน” เต๋อหันไปหยิบจานพร้อมตะเกียบส่งให้ณัฐ “ทานเป็นเพื่อนพี่สิครับ ช่วยกันทานให้หมด”
.
.
ณัฐมองจานสลับร่างชายกำยำที่นอนเปลือยอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นี่เขาจะต้องทานซูชิจากจานมนุษย์จริงหรือ แถมยังเป็นผู้ชายเสียด้วย
.
.
“แค่ทดสอบนะครับ ถ้าทำไม่ได้หรือรับไม่ได้ กลับไปหาพี่ชายเราเถอะ พี่แนะนำว่าอยู่ฝักใฝ่ฝ่ายพี่เลย เพราะต่อจากนี้จะต้องพบเห็นเรื่องเสื่อมลูกตายิ่งกว่านี้อีก” เต๋อวาดตะเกียบกลางอากาศประกอบคำพูด
.
.
ณัฐสบตากับเหยื่อของเต๋อ ทว่าสายตาของเขากลับส่งประกายเชื้อเชิญให้รับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย โดยไม่ต้องเป็นห่วงว่าเขาจะถูกหยามเหยียดศักดิ์ศรีความเป็นคน ราวกับเป็นหน้าที่เสียสละเพื่อชาติก็ไม่ปาน
.
.
“โทโร่น่ะ อร่อยนะครับ เนื้อนุ่มจนละลายในปากเชียวล่ะ ลองทานสิครับ” เต๋อชำเลืองยังตำแหน่งซูชิโทโร่ที่วางอยู่กลางตัวจานมนุษย์โดยมีใบรองไว้ พูดให้เห็นภาพชัดก็คือระหว่างอาหารที่ต้องป้อนเข้าปากกับควยคนแปลกหน้ามีเพียงวัตถุบาง ๆ กั้นกลางอยู่จนณัฐยากจะทำใจ เวลาผ่านไปอย่างสูญเปล่าราวสิบวินาทีที่ต่างคนต่างเงียบจนบรรยากาศตึงเครียด
.
.
“โอเคล่ะครับ พี่ว่าณัฐไม่เหมาะจะลงเรือลำเดียวกับคนโรคจิตอย่างพี่หรอก” เต๋อปั้นหน้าถอนหายใจประชดแกมผิดหวัง เขาวางตะเกียบลงเบา ๆ “ขอโทษนะครับที่ทำให้เสียเวลาและบีบคั้นจิตใจ จะกลับก่อนก็ได้นะครับ” 
.
.
“ม. . .ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ!. . .” ณัฐพยายามรวบความกล้าเท่าที่มีอยู่น้อยนิด ป้อนแรงส่งให้แขนและมือขยับไปคีบซูชิโทโร่ชิ้นนั้นด้วยอาการสั่น ยิ่งทำให้คีบชิ้นข้าวปั้นไม่ขึ้นและคลุกอยู่กับบริเวณนั้นนานเกินจำเป็น จนกระทั่งณัฐสังเกตได้ว่าจานรองบริเวณนั้นนูนโป่งออกมาแล้ว
.
.
“อาหหห์” ชายร่างกำยำร้องครางด้วยความซ่านกระสันต์ ยิ่งทำให้ณัฐขยะแขยง เขารู้สึกว่านี่มันแทบไม่ต่างกับเกมโชว์เฟียร์เฟคเตอร์เลย เขาจึงต้องฝืนใจทำเรื่องที่มีแต่เงื่อนไขทุเรศ ๆ เพราะต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่ากลับมาภายหลัง ลำควยชายผู้นั้นขยายตัวขึ้นจนดันใบไม้และซูชิโทโร่เลื่อนจนอาจจะไหลตกจากตัวได้ ณัฐหลับตากลั้นใจคีบจนสำเร็จมาได้หนึ่งชิ้นอย่างหวุดหวิด ขณะชิ้นที่เหลือถูกควยที่แข็งตัวดันจนตกจากใบไม้รองไหลไปตามง่ามและต้นขาของเหยื่อ
.
.
“จิ้มวาซาบิด้วยสิครับ” เต๋อชี้ให้เห็นก้อนวาซาบิบีบเป็นกระจุกอยู่ตรงหัวนมทั้งสองข้าง แถมยังไม่มีใบไม้กั้นเสียด้วย ณัฐปั้นหน้าใจดีสู้เสือ คีบชิ้นอาหารแตะลงบนก้อนวาซาบิเบา ๆ เนื่องด้วยเกรงว่าหากออกแรงมากไปชิ้นอาหารจะสัมผัสกับหัวนมตรง ๆ ซึ่งจะกลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจมากสำหรับเขา “โอววว” จานมนุษย์ครางอีกครั้ง ขณะนี้ควยของเขาแข็งผงาดชี้เด่กลางโต๊ะอาหารประหนึ่งธงชาติประดับยอดถ้วยไอศกรีม จนณัฐไม่อาจฝืนทนมื้ออาหารจานวิปริตนี้ได้อีกต่อไป อาหารที่กินเข้าไปมื้อก่อนหน้านี้ตีย้อนจากกระเพาะคืนสู่ทางเข้า
.
.
“อ๊ออออออออออกก!” เขาขย้อนออกมาสุดแรง ความรู้สึกประดุจผลส้มที่ถูกรีดคั้นน้ำจนเหี่ยวแฟบ
.
.
“อืม พอแค่นี้ก็ได้ครับ พี่ถือว่าสอบผ่านละกัน” เต๋อประกาศผลทดสอบอย่างใจเย็นแม้ว่าเด็กหนุ่มยังคงอาเจียนต่อไม่หยุด
.
.
“ขอโทษครับ” หลังจากณัฐหยุดอาเจียนและตั้งสติได้ สิ่งแรกที่นึกคือควานหากระดาษเช็ดอาเจียนกองเบ้อเริ่มที่สำรอกออกมาเต็มพื้นห้อง แต่เต๋อยกมือขัดไว้ “ไม่ต้องครับ พี่ว่าเราหยุดทานอาหารก่อนดีกว่า คุยธุระกันต่อเลยนะ” เขาดีดนิ้วออกคำสั่ง จานมนุษย์ลุกพรวดขึ้น อาหารราคาแพงร่วงเกลื่อนสู่พื้น เขาเดินตรงไปยังกองอาเจียนของณัฐ. . . และใช้สองมือโกยขึ้นกินด้วยเสียงดังมูมมาม เขามีจินตภาพว่าเศษข้าว เศษเนื้อผัก และน้ำย่อยที่คลุกเคล้าเป็นสีทองอำพันคือโจ๊กฮ่องเต้ร้อน ๆ ตอกไข่ใส่
.
.
“มีคนทำความสะอาดให้แล้วนะครับ คุยเรื่องของเราต่อเถอะครับ” เต๋อยิ้มหวานปลอบใจ แต่อีกฝ่ายแทบอยากร้องไห้สุดใจขาด 
.
.
.
หลังผ่านการทดสอบ ทั้งสองเจรจาไม่ต่างจากการตกลงทางธุรกิจ ณัฐอาสาจะใช้พลังหยั่งรู้อนาคตช่วยกรุยทางอำนวยความสะดวกให้เต๋อล่าล้างแค้นจนกว่าจะบรรลุเสร็จ ขณะเดียวกันสิ่งที่เต๋อต้องแลกเปลี่ยนคือใช้สติปัญญาหาทางทำให้ณัฐเป็นอิสระจากธนิกจอมบงการชีวิต โดยมีเงื่อนไขคือต้องไม่ให้เจ้าตัวบาดเจ็บหรือถึงแก่ชีวิต เต๋อยินดีตอบรับอย่างไม่ลังเล อันที่จริงเงื่อนไขนี้ถือว่าเต๋อเป็นฝ่ายได้กำไรด้วยซ้ำ เพราะต่อให้ณัฐไม่มาเสนอตัวเช่นนี้ เต๋อเองก็คิดจะต่อกรกับธนิกเองอยู่แล้วเนื่องจากชีวิตเขาเองก็ถูกธนิกรบกวนจนอยู่ไม่สุขเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม นักธุรกิจอย่างเขาย่อมเล็งเห็นโอกาสทำกำไรสูงสุดเสมอ. . . ณัฐเป็นเด็กหัวอ่อน โน้มน้าวไม่ยาก ฉะนั้นจะได้คืบเอาศอกอีกสักหน่อยคงไม่ยากเกิน
.
.
.
เต๋อสั่งให้สาวเสิร์ฟยกน้ำผลไม้สดมาให้บริการ เพื่อผ่อนคลายให้ณัฐเย็นใจลงและเจรจากันต่อ ส่วนชายกำยำหลังจากทานกองอ้วกและเลียพื้นจนสะอาดแล้วเต๋อก็สั่งให้เขาเต้นระบำหน้าท้องเป็นจำอวดไปเสีย
.
.
“ถ้าจะให้ผมอ่านอนาคตต้องรู้ใบหน้าของคนที่จะให้ทำนายครับ เอ่อ. . . แต่บางครั้งถ้าเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเหตุดีเหตุร้าย นิมิตก็จะผุดขึ้นมาเอง อืม . . . ส่วนเรื่องเวลากะเอาแน่นอนไม่ได้หรอกครับ เอ่อ. . . ส่วนใหญ่นิมิตที่เห็นก็จะเป็นภาพที่ถูกเลือกมาแล้วว่าสมควรเห็น”
.
.
“ณัฐว่าภาพที่เราเห็นถูกเลือกเหรอครับ แล้วคิดว่าใครเป็นผู้เลือก พระเจ้าหรือ?” เต๋อถามอย่างสงสัยแกมเล่นลิ้น
.
.
“เอ่อ. . .ไม่รู้เหมือนกันครับ โชคชะตามั้งครับ” เด็กหนุ่มตอบหน้าเจื่อน ใช่ว่าเขาจะมีความสุขกับพลังพิเศษนี้ อีกด้านหนึ่งมันทำให้เขากลายเป็นคนขี้ระแวงและวิตกจริตกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึงเสมอ
.
.
เพื่อมิให้ทุกนาทีล่วงไปอย่างสูญเปล่า เต๋อล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบรูปเหยื่อรายต่อไปออกมามอบหมายให้ณัฐเป็นงานแรก 
.
.
“รบกวนช่วยอ่านอนาคตคนในรูปหน่อยนะครับ เป้าหมายต่อไปของพี่เอง” ณัฐรับรูปดังกล่าวมาอ่านด้วยพลังนิมิตหยั่งรู้ แม้อยากจะถามว่าเด็กหนุ่มในชุดบาสสีฟ้าในรูปคือใคร แต่จู่ ๆ เขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะซักไซร้และใช้พลังให้อย่างไม่รอช้า ด้วยหวังว่าจะทำให้เต๋อพอใจและไว้ใจตนยิ่ง ๆ ขึ้นไป
.
.
ผ่านไปราวหนึ่งนาที ณัฐเปิดเปลือกตาขึ้น ภาพแรกที่เห็นคือชายร่างกำยำที่ยังเต้นระบำหน้าท้องต่อไปโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ช่างทุเรศจนอยากหลับตาหนีไปอีกรอบ อย่างไรก็ตามณัฐรีบถามเข้าประเด็น “พี่จะแก้แค้นคนคนนี้. . .เหรอครับ เอ่อ. . . จะฆ่าให้ตาย. . .เลยเหรอ”
.
.
“เปล่าครับ กฎเหล็กในการแก้แค้นของพี่คือต้องไม่มีใครตายเพราะพลังโทรจิต แต่จะไปฆ่าตัวตายเองทีหลังนั่นอีกเรื่อง มันเหมือนกับมนุษย์วิปริตบางคนที่สะใจกับการกินสัตว์ที่ยังไม่ตายนั่นแหละ ความสนุกอยู่ที่พี่ได้ล้างแค้นทำร้ายโดยที่พวกมันไม่รู้สึกเจ็บปวดหรืออับอาย แต่กว่าจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว พวกมันจะมืดแปดด้าน ไม่รู้ว่าใครทำหรือตัวเองทำ และแน่นอน พวกมันต้องรับผิดชอบทุก ๆ อย่างที่พวกมันทำไว้ตอนไม่มีสติ ส่วนพี่เดินตัวเบาจิบกาแฟดูหายนะอยู่เงียบ ๆ ไม่มีใครทำอะไรได้เลย” 
.
.
ณัฐถอนหายใจยาว “เอ่อ. . . ง . . งั้นก็โล่งอกครับ ผมนึกว่าพี่จะฆ่าเขาซะอีก . . . พี่ไม่ต้องทำอะไร. . . อืม . .หรอกครับ. . . อีกไม่กี่วัน อืม. . . เขาจะตายไปเอง. . .”
.
.
“เดี๋ยวสิ ถึงตายเลยหรือ” นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มสนทนาที่เต๋อต้องเป็นฝ่ายรบเร้าณัฐ 
.
.
“ไม่ผิดหรอกครับ เห็นตั้งแต่ตอนขาดใจตาย จนถึงภาพงานศพ ตัวพี่เองก็อยู่ในงานด้วยครับ” ณัฐบรรยายต่อ
.
.
“เขาเป็นอะไรตาย”
.
.
“ถูกฆ่าตายครับ” เด็กหนุ่มตอบอย่างปลงตก คงเคยเห็นภาพคนชะตาขาดทำนองเดียวกันนี้ในนิมิตมาแล้วนับไม่ถ้วน
.
.
“. . . . . . . .” แม้จะเป็นคำพูดที่หาหลักฐานไม่ได้ ณัฐอาจจะวางกลลวงเพื่อขัดขวางการทำงานของเขา แต่ยิ่งคิดยิ่งไม่สมเหตุสมผล เรื่องอะไรที่ณัฐต้องโกหกเพื่อปกป้องคนแปลกหน้า หนำซ้ำหากเขารู้ความจริงภายหลังคนที่จะเดือดร้อนเข้าตัวคือณัฐเอง เพราะถือว่าขัดขวางเส้นทางชีวิตเขาเหมือนธนิก แต่ดูจากอุปนิสัยณัฐแล้ว ไม่น่าใช่คนที่เอาตัวเองแบกรับความเสี่ยงขนาดนั้น
.
.
เหตุผลทั้งหลายทั้งปวงชักนำให้เต๋อเชื่อคำบอกเล่าของณัฐจนได้ และก่อตัวเป็นความกระวนกระวายใจที่บุคคลเป้าหมายจะต้องตายในอีกไม่กี่วัน . . . ซึ่งก็ไม่รู้ว่าด้วยอารมณ์ใดกันแน่
.
.
“ช่างมันก่อนเถอะครับ เดี๋ยวไว้พี่ค่อยคิดอีกที ว่าแต่. . . มีคำถามสุดท้ายที่อยากรบกวนถามครับ”
.
.
ณัฐพยักประหลก ๆ ก้มหน้าดูดน้ำผลไม้แม้มันจะหมดไปตั้งนานแล้ว แก้เก้อที่ไม่รู้จะคุยอะไร เขาไม่อยากรู้จักคนน่ากลัวอย่างเต๋อเลย หากไม่เป็นความหวังหนึ่งเดียวที่จะทำให้ชีวิตเขาได้รับอิสรภาพในภายหน้า แต่อะไรช่วยที่ช่วยได้ก็คงช่วย เพื่อให้เต๋อล้างแค้นสำเร็จโดยเร็วและหันมากำราบธนิกต่อไป
.
.
เต๋อลูบคางตัวเองอย่างครุ่นคิด
.
.
“ช่วยตอบพี่ทีสิครับ พลังพิเศษของพี่มีนคืออะไร”
.
.
.
.
.
หนุ่มคนหนึ่งยืนหัวเสียอยู่หน้าโรงแรม อายุน่าจะอยู่ในวัยยี่สิบตอนปลาย รูปร่างผอมสูง ผิวขาวซีดเหมือนคนสุขภาพไม่ดี แต่หน้าตาจัดว่าดูดีระดับพระเอกหนังฮ่องกงทีเดียว ตาฉายแววกวนประสาทนิด ๆ เขายืนสูบบุหรี่ฆ่าเวลาติดต่อกันเป็นมวนที่สามแล้ว
.
.
“รอนานไหมอ้น” มีนเดินก้าวขาฉับ ๆ ปรี่หาชายคนดังกล่าว
.
.
“ผู้จัดการจำได้ว่าฉันเป็นนักข่าว ถูกไล่ออกมายืนหัวโด่อยู่เนี่ย หมดกัน เรื่องนี้น่าสนใจซะด้วย” ชายชื่ออ้นดีดก้นบุหรี่ลงกระบะทรายแม่นราวจับวาง
.
.
“ใครฆ่ากันตายอีกล่ะ” มีนถาม
.
.
“เปล่า ๆ หนนี้ไม่มีการตาย มันน่าสนใจกว่าคนฆ่ากันอีก” อ้นพูดต่อพลางจุดบุหรี่มวนใหม่ “สายข่าวฉันเล่าว่าวันนี้มีงานแต่งลูกชายกำนันเฮง แต่คนในงานจู่ ๆ คลุ้มคลั่ง ปิดห้องโถง สวิงกิ้งเซ็กส์หมู่กันไม่อายฟ้าดิน ความแตกเอาตอนมีคนทำผ้าม่านติดไฟจนสัญญาณเตือนภัยดังทั่วโรงแรม ส่วนกำนันเฮงโรคหัวใจกำเริบ โชคดีถึงมือหมอทันเวลา โรงแรมรีบปิดข่าวใหญ่เลย แต่ไม่เล็ดรอดสายข่าวของฉันไปได้หรอกจะบอกให้”
.
.
“ข่าวอะไรของแกน่ะ เชื่อถือได้แค่ไหนกัน” มีนย้อนแย้ง แต่อีกฝ่ายเตรียมหาเหตุผลรองรับไว้แล้ว “ฉันคงไม่เชื่อหรอก ถ้าก่อนหน้านี้ไม่มีข่าวคนสติแตกออกมาทำเรื่องอุบาทว์กลางที่สาธารณะอยู่เนือง ๆ แม้แต่ส.ส.ดารินทร์ก็เอากะเขาด้วย บางทีอาจเป็นโรคอุปทานหมู่หรือลัทธิชักจูงคนในทางเสื่อม ๆ เหมือนบาทหลวงจิม โจนส์ไง อะไรเทือกนี้น่ะ” 
.
.
คำพูดนี้ทำให้มีนนึกถึงใบหน้าเต๋อ. . .แววตาทอดเบื้องล่างดูถูกเหยื่ออย่างสังเวช พร้อมรอยยิ้มแสยะอันเป็นเอกลักษณ์ลอยขึ้นมา. . . 
.
.
“เพราะงั้นถึงให้ฉันมาที่นี่ใช่ไหมล่ะ” 
.
.
“คร้าบบเจ๊ ยังไงคราวนี้ก็รบกวนอีกทีนะครับ” อ้นยกมือไหว้สูงท่วมหัวขอร้องแกมล้อเล่น
.
.
“นี่ อย่าให้มันมากไปนะแก ฉันใช้พลังช่วยแกทำข่าวเพราะเห็นแก่คนตายหรอกนะ แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่” มีนท้วงขึ้น 
.
.
“โธ่เจ๊. . . ไม่อยากรู้ความจริงเหรอ นี่อาจเป็นการค้นพบชนิดพลิกโลกก็ได้นะ” อ้นล้อมหน้าล้อมหลังอ้อนมีน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมีนอยากจะบอกเหลือเกินว่ามันก็คงหนีไม่พ้นฝีมือผู้มีพลังจิตเช่นเดียวกับเธอนั่นแหละ แต่พูดออกไปคงไม่เป็นการดีเท่าไหร่ อ้นคือเพื่อนวัยเด็กเพียงคนเดียวที่เธอไว้ใจและล่วงรู้อำนาจวิเศษของเธอ หากเขายื่นมือเข้ามาพัวพันกับเต๋อล่ะก็ อนาคตทางสังคมอาจดับวูบเหมือนเป่าเทียนไปอีกคน 
.
.
“น่า. . .นะ ฉันอยากรู้ความจริงจนจะลงแดงตายอยู่แล้วเนี่ยแก” อ้นรบเร้าจนมีนเบนหน้าหนีอย่างหน่ายระอา เธอคิดว่าจะให้รู้เฉพาะความจริงที่เกิดขึ้นในห้องโถงโรงแรมก็พอ ส่วนเรื่องเต๋อนั้นคงต้องเก็บเป็นความลับต่อไป
.
.
“ก็ได้ แต่คราวหน้าไม่ทำให้แล้วนะถ้าไม่ใช่คดีฆาตกรรม” เธอบ่น “แล้วก็ดับบุหรี่ได้แล้ว มันเหม็น” อ้นรีบทำตามคำสั่งทันทีเป็นการเอาใจ “ถ้าฉันมีพลังจิตสัมผัสแบบแก ทำเองได้คงไม่เซ้าซี้หรอกน่า”
.
.
“ช่วยเรียกว่าไซโคเมทรี่เถอะ จิตสัมผ่งจิตสัมผัสอะไรกัน ฉันไม่ใช่คนทรงแก้กรรมนะยะ” มีนตั้งจิตสงบและปิดเปลือกตาลงช้า ๆ ยื่นมือเรียวขึ้นทาบกำแพงโรงแรมราวเสมือนการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างสมองและวัตถุพยาน
.
.
“ขณะนี้เราอยู่กับแม่ชีมีนผู้หยั่งรู้อดีตกรรม. . .” อ้นทำท่าล้อเลียน “ถ้าจะให้ช่วยก็เงียบ ๆ หน่อย! อย่ารบกวนสมาธิ!” เธอสวนขึ้นทำเอาฝ่ายชายหน้าเจื่อนลงไป และควักบุหรี่ขึ้นมาสูบฆ่าเวลาอีกมวน
.
.
ผ่านไปสองนาทีมีนจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาทำลายความเงียบ
.
.
“เห็นทุกอย่างแล้วล่ะ แกอยากจะดูเองหรือให้เล่าให้ฟัง. . .” มีนถาม 
.
.
“ขอดูเองดีกว่า” อ้นตอบ “แหม ทีคนแทงกันตาย ให้ฉันดูภาพแต่หดหู่คนเดียว พอเรื่องแบบนี้ล่ะหูตากระดิกเชียวนะ” มีนค้อนใส่ 
.
.
“เอาเลยเจ๊” อ้นก้มหัวยื่นให้ มีนทาบฝ่ามือลงเบา ๆ กลางกระหม่อม
.
.
ภาพในอดีตถูกฉายเข้าสมองชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกเหมือนมีรถมอเตอร์ไซค์แล่นฉิวผ่านศีรษะคันแล้วคันเล่านับไม่ถ้วน ภาพเหตุการณ์ในอดีตคมชัดเพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่นาน 
.
.
ย้อนเวลากลับไปราวสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ งานวิวาห์ของลูกชายกำนันเฮงเละเทะไม่เหลือเค้าโครงพิธีกรรมมงคล ราวกับเป็นสถานที่แปดเปื้อนกลิ่นคาวโลกีย์ทั่วทั้งงาน เจ้าบ่าวถูกเพื่อนเจ้าบ่าวและเพื่อนร่วมงานเพื่อนเก่าสมัยเรียน เรียงคิวอัดตูดโชว์บนเวที เด็กเสิร์ฟใช้ควยแข็งโด่เด่ตัดเค้ก แล้วเสียบคาไว้เดินให้แขกในงานกินจนกว่าจะถึงแก่นควยเสร็จแล้วอมต่อจนน้ำแตก นอกจากนั้นยังมีคนถลกกระโปรง ปลดซิปงัดควยขึ้นมาเย็ดกันกลางโต๊ะจนข้าวของจานชามหล่นแตกระเนระนาด บ้างก็เอาครีมเค้กทารูตูดแล้วให้คนเลีย เจ้าสาวถูกเรียงคิวหน้ากระดานเย็ดสดแตกใน จนน้ำว่าวของผู้ชายเกือบยี่สิบคนไหลเอ่อทะลักทลายล้นออกจากปากถ้ำเจิ่งนอง 
.
.
เด็ก ๆ ผลักภาพแต่งงานขนาดใหญ่เลี่ยมกรอบทองที่ตั้งโชว์หน้างานจนหล่นแตก จากนั้นจึงช่วยกันเยี่ยวรดภาพของทั้งสอง แถมยังเติมหนวด เขียนคิ้ว ใส่เขี้ยวเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าบ่าวเจ้าสาว พร้อมทั้งเขียนข้อความลงในภาพ เช่น “พ่อแม่ไม่สั่งสอน” “ไอ้ชาติหมา” “หัวควยไอ้ส้นตีน” “ลูกอีดอกทอง” เป็นต้น แขกเหรือในงานต่างสูญสิ้นจิตสำนึกของมนุษย์ ส่วนพ่อแม่ของเจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งนิ่งตัวเกร็ง โดยมีชายหนุ่มในชุดสูทคนหนึ่งนั่งคั่นกึ่งกลางบุพการีทั้บสองฝ่าย นั่นคือเต๋อซึ่งนั่งคุมเชิงบีบบังคับร่างกายให้พ่อแม่ของทั้งฝ่ายดูความจัญไรหายนะของลูกหลานตัวเองโทษฐานที่เลี้ยงดูให้โตมาอย่างขาดการอบรม
.
.
เจ้าบ่าวไล่แหวกแก้มก้มลงลิ้นเลียรูตูดแขกผู้ชายในงานขณะที่เจ้าสาวช่วยอมควยให้จากหน้าด้านแทนคำขอบคุณที่ร่วมมาเป็นสักขีพยาน ส่วนแขกสุภาพสตรีบางส่วนที่ไม่ได้ร่วมวงคาวสวาท ก็ไม่น้อยหน้า แก้ผ้าเต้นเอาร่องหีร่องดากรูดตามเสาร่วมสร้างบรรยากาศ เสียงเพลงคลาสสิคถูกเปลี่ยนเป็นเพลงเดดเมทัลจังหวะกระหึ่ม ใครอยากจะเย็ดหีเจ้าสาว หรืออัดตูดเจ้าบ่าวก็ไม่มีการเกี่ยงงอนใด ๆ ทั้งสิ้น จนกระทั่งรูตูดเจ้าบ่าวบวมแดงมีเลือดไหลซึม และร่องหีเจ้าสาวนั้นเฉอะแฉะเหนียวเหนอะไปด้วยน้ำเชื้อจากชายนับไม่ถ้วน ทั้งคู่มีสภาพไม่ต่างจากกะหรี่ราคาถูก ๆ เมื่อบริการทางเพศจนแขกเหรืออิ่มหนำใจแล้ว ทั้งสองเดินเข้าไปหาพ่อแม่ที่นั่งอยู่ และผลัดกันนั่งคร่อมหน้าเบ่งรีดน้ำว่าวที่ขังในหีและรูตูดออกมาแลกกันกินต่อหน้าบุพการีที่ได้แต่นั่งน้ำตาไหลแทบเป็นสายเลือด
.
.
ขณะเดียวกัน แขกในงานยังคงร่วมเพศและดิ้นกันสุดสวิงริงโก้อีโต้เหวี่ยง มีการนำเหล้าดีกรีแรงมาพ่นไฟโชว์ คราวซวย. . .เปลวไฟลุกพรึ่บติดม่านขนาดมหึมาและลุกลามอย่างรวดเร็ว แต่ทุกคนก็ยังสนุกลืมโลก ไม่รู้ร้อนหนาวแม้จะเกิดเปลวแสงโชติช่วงสว่างจ้าก็ตาม 
.
.
“พอแค่นี้ก่อน” เต๋อดีดนิ้วคืนสติให้ทุกชีวิต เป็นจังหวะเดียวกับที่ระบบสัญญาณเตือนภัยตรวจจับความผิดปกติได้ เสียงกริ่งดังลั่นและหัวฉีดบนเพดานปล่อยน้ำออกมาดับเปลวไฟ เต๋อแหงนหน้ายิ้มราวกับสนุกทีรู้ทันได้แม้กระทั่งเหตุการณ์เฉพาะหน้า เขาหยิบร่มขึ้นกางอย่างใจเย็นท่ามกลางฝนเทียม นับว่าเขาเลือกร่มได้ถูกต้องถามคำบอกใบ้จากณัฐ
.
.
ผู้คนเริ่มคืนสติและกรีดร้องเมื่อพบว่าสภาพร่างกลายเปลือยเปล่า บ้างก็เจ็บปวดเครื่องเพศเพราะใช้เย็ดอย่างโชกโชน กำนันเฮงพ่อของเจ้าบ่าวช็อคจนอาการโรคหัวใจกำเริบกะทันหัน ลูกชายรีบเข้าไปประคองทันทีโดยไม่สนใจว่าสถานการณ์รอบตัวเลวร้ายแค่ไหน 
.
.
ท่ามกลางความอลหม่านและคำถามที่ตามมานับร้อยพัน เต๋ออาศัยจังหวะนี้เดินกางร่มออกจากห้องโถงเงียบ ๆ 
.
.
.
.
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ ไอ้คนหล่อ ๆ ถือร่มนั่นใครน่ะ ไม่เปียกอยู่คนเดียว แถมไม่ตกใจอะไรเลย เหมือนมันคุมสถานการณ์ไว้ทุกอย่าง” อ้นโพล่งขึ้นมา และทำให้มีนเพิ่งฉุกคิดได้ว่าเขาเห็นในสิ่งที่ไม่สมควรเข้าซะแล้ว เธอรีบดึงมือออกจากกระหม่อมเขาเพื่อตัดขาดการส่งต่อภาพที่ได้บันทึกไว้จากการใช้พลังจิตสัมผัส
.
.
.
“มีน! ขอดูอีกรอบหน่อยนะ ผู้ชายคนนั้นน่าสงสัย!” 
.
.
“พอเถอะ ฉันเหนื่อยแล้วนะ” เธอแสร้งพูดเพราะไม่ต้องการให้เพื่อนชายรู้ลึกไปกว่านี้ ที่จริงเพิ่งคิดขึ้นได้ว่าไม่น่าให้เห็นตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ
.
.
“เฮ้ย! ซีเรียสนะ! บางทีมันอาจเป็นเจ้าลัทธินอกรีต เผยแผ่คำสอนอัปปรีย์ ๆ สู่ผู้คนก็เป็นไปได้ ถ้าเรื่องจริงล่ะก็เรื่องใหญ่เลยนะ แกไม่สังเกตเหรอว่าช่วงปีที่ผ่านมามีข่าวแบบนี้บ่อยจนไม่น่าจะเป็นไปได้เลย” อ้นทำท่าราวกับโลกกำลังจะแตก ส่วนมีนได้แต่กุมขมับคลายความอึดอัด เธอรู้ทุกอย่างแต่พูดไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ต้องปรามไม่ให้อ้นเพ่งเล็งตัวอันตรายอย่างเต๋อ 
.
.
“มีน! ขอฉันดูอีกรอบนะ! อีกรอบเดียวจริง ๆ! ซีเรียสนะเว้ย! ถ้าแกให้ดูฉันยอมลดบุหรี่เหลือวันละครึ่งซองเลยเอ้า!” 
.
.
.
มีนเสยผมขึ้น พยายามกดเก็บอารมณ์ไม่ให้หลุดโพล่งสิ่งใดที่อาจเป็นการชี้นำ เธอขยับสายสะพายกระเป๋าเข้าไหล่ก่อนขอถอนตัวออกมา แค่เรื่องนี้เท่านั้นที่เธอให้ความร่วมมือไม่ได้
.
.
“อ้น. . . เฉพาะเรื่องนี้. . .ฉันยอมให้แกสูบวันละสองซองยังดีกว่าฉายอีกรอบเลย ลืม ๆ ไปซะเถอะ ขอร้องล่ะ” 

เวลาต่อมา ณ บ้านไร่แห่งหนึ่งในจังหวัดชนบท
.
.
.
“ชักจะไปกันใหญ่แล้วนะ!” แฟนสาวเอ็ดชายหนุ่มลั่นบ้าน “ทำไมต้องวางกับดักสัตว์ไว้หน้าห้อง เกิดมีคนเหยียบขึ้นมาจะเป็นยังไงฮึ!”
.
.
“นั่นละสิ่งที่ไม้ต้องการ” ไม้ตอบดาวแฟนสาวอย่างอิดโรย เขานอนน้อยสองสามวันติดกันแล้ว เพราะหมดเวลาไปกับการรื้อค้นหาอาวุธสำหรับป้องกันตัว ซื้อกล้องวงจรปิดติดทั่วบ้าน และนำกับดักสัตว์จากห้องเก็บของมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง ด้วยเกิดอาการวิตกจริตหลังจากเกรซและวีโทรมาเตือนว่าผู้อยู่เหตุการณ์เบื้องหลังข่าวอัปยศของเพื่อนร่วมรุ่นที่ผ่านมาทั้งหมดคือ “พลังโทรจิตของเต๋อ” ที่สำคัญเธอพบร่องรอยการใช้มือถือของเธอต่อสายถึงไม้ กอปรไม้เพิ่งนึกได้ว่าเคยมีคนใช้เบอร์เกรซโทรเข้ามาพูดจาแปลก ๆ ทิ้งท้ายไว้ว่า “คนทรยศ”
.
.
สิ่งละอันพันละน้อยทั้งหมดประกอบเป็นภาพคร่าว ๆ ว่าอีกไม่นานนี้ เหยื่อรายต่อไปที่เต๋อจะเดินทางมาเพื่อชำระความอาจเป็นเขา ซึ่งไม้ไม่มีทางยอมสิ้นอนาคตหมดรูปอย่างเหยื่อรายก่อน ๆ เป็นอันขาด ข้อเสนอแนะจากวีคืออยากให้สี่แสบจตุรเทพรวมตัวกันทำอะไรสักอย่างเพื่อจัดการกับเต๋อ แต่ไม้ปฏิเสธที่จะรวมกลุ่ม เขารักสันโดษและมักหาทางยุติปัญหาด้วยตนเองคนเดียว
.
.
.
ความจริงมีวิธีที่ลงทุนน้อยกว่านี้คือหนีไปกบดานที่อื่น แต่ติดตรงที่พ่อกับแม่ไม้เดินทางไปจังหวัดข้างเคียง เพื่อติดต่อทางสำนักศิลปากรประจำเขตให้รับมรดกของชาติไปดูแล สืบเนื่องจากสองสามีภรรยาขุดพบไหบรรจุพระพุทธรูปโบราณ พระเครื่อง และเครื่องทองต่าง ๆ โดยบังเอิญขณะขุดดินเพื่อทำสวน สองสามีภรรยาไม่อาจนำสมบัติทั้งหมดติดตัวไปได้ ซ้ำยังกังวลเรื่องความปลอดภัย จึงพกแค่สมบัติชิ้นเล็ก ๆ บางส่วนและถ่ายรูปสมบัติที่เหลือไว้สำหรับให้เจ้าหน้าที่ประเมินค่า ส่วนสมบัติตัวจริงถูกเก็บไว้ในตู้นิรภัย ในฐานะลูกชายคนเดียว ไม้จึงถูกไหว้วานให้เฝ้าบ้านดูแลสมบัติโบราณและคุณตาที่เดินไม่ได้ต้องนั่งรถเข็น โดยมีดาวแฟนสาวมาอยู่เป็นเพื่อน ซึ่งทั้งสองครอบครัวทั้งไม้และดาวก็ไม่ได้ข้องใจอันใด เพราะเป็นที่รู้กันว่าหนุ่มสาวสมัยนี้แม้จะยังอยู่ในคราบนักเรียน แต่ความสัมพันธ์ฉันแฟนคงหนีไม่พ้นการได้เสียกันฉันผัวเมียอยู่ดี โดยทั้งดาวและไม้เรียนต่อ ปวส. สาขาบริหารธุรกิจที่โรงเรียนใกล้บ้าน ทั้งสองรู้จักกันที่นั่น 
.
.
.
ไม้ทดสอบองศาหน้าไม้ล่าสัตว์โดยเล็งเป้าไปยังตามจุดล่อแหลมต่าง ๆ ภายในบ้าน ทำเอาทั้งคุณตาและดาวหวาดเสียวไปตาม ๆ กัน ไหนจะกล้องวงจรปิดที่ทำให้บรรยากาศในบ้านเหมือนคุก ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือกับดักสัตว์ที่วางไว้หน้าห้องนอน เมื่อปิดไฟตอนกลางคืนจะมองไม่เห็นเลย ทำให้ดาวไม่กล้าลุกกลางดึกเพื่อเข้าห้องน้ำ ดาวได้แต่ด่า ด่า ด่า แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรนัก เพราะไม้หมกหมุ่นจนราวกับหลุดอยู่ไปอีกมิติหนึ่งที่เธอส่งเสียงเข้าไปไม่ถึง และไม้ก็ไม่ยอมปริปากอธิบายรายละเอียดอันใด นอกจากพูดแค่ว่าจำเป็นต้องทำซักระยะจนกว่าพ่อและแม่จะกลับมา แล้วจากนั้นเขาจะย้ายหนีไปอยู่ที่อื่นทันที บ้านหลังนี้ไม่ปลอดภัยสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว 
.
.
“เสียสติรึไงไม้! หยุดทำบ้า ๆ ซะที!!” ดาวร้องไห้จ้าหน้าห้องนอนต่อหน้าคุณตาที่ไม่กล้าออกความเห็นใด ๆ สุขภาพของแกอย่าว่าแต่จะมีโอกาสลุกขึ้นเดินได้เลย แค่อ้าปากกินข้าวก็แทบจะหมดแรงแล้ว 
.
.
.
ชายหนุ่มไม่สนใจ ทุกลมหายใจของเขาจดจ่ออยู่กับจอมอนิเตอร์ที่แสดงภาพจากกล้องวงจรปิดอย่างไม่ละสายตาอยู่ในห้องส่วนตัว จนกว่าพ่อแม่จะกลับมาเท่านั้น หากคลาดไปเพียงวินาทีเดียว เขาอาจต้องพบชะตากรรมเดียวกับปรียาหรือแม่ของเกรซที่ถูกยัดเยียดให้กลายเป็นจำเลยสังคม
.
.
“เก่งจริงก็เข้ามาเลยไอ้หนอนพยาธิอ่อนแอ!” ไม้สื่อสารกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน บางทีอาจเพื่อปลุกใจตัวเอง
.
.
.
“ให้มันรู้ว่าโพดำไม่ใช่หมูที่จะเคี้ยวกันได้ง่าย ๆ”
.
.
.
จบตอนที่ 18 รู้ทั้งรู้แต่พูดไม่ได้

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

แค้นวิปริต จิตสั่งกาม : ตอนที่17 เกมของณัฐ

ตอนที่17 เกมของณัฐ
.
.
.
“เอ้า กินไปเยอะ ๆ”


หลังโรงเรียนมีมุมหนึ่งที่เต๋อจะต้องหมั่นแวะเวียนเยี่ยมเพื่อนตัวน้อยเป็นกิจวัตรมันคือลูกสุนัขพันธุ์ทางขนสีน้ำตาลที่บังเอิญหลงเข้ามาในโรงเรียนไม่มีใครสนใจว่ามันจะกินนอนมีความเป็นอยู่อย่างไรเท่าไหร่นักแต่นับว่ายังดีที่มีคนแบ่งอาหารให้ไม่ขาดช่วงไม่ว่าจะเป็นแม่ค้าในโรงอาหารหรือนักเรียนหญิงที่ชอบแบ่งเศษขนมให้เป็นทาน จะสงเคราะห์ด้วยความเมตตาก็ดีหรือเพลิดเพลินกับการโยนอาหารให้มันงับกินก็ดีก็ทำให้เจ้าตัวน้อยมีชีวิตรอดมาได้แม้อยู่ในวัยกระเตาะกระแตะ


“แกอยู่ตัวเดียวไม่เหงาบ้างเหรอ” เต๋อคุยไปด้วยพลางลูบหัวลูกหมาที่กำลังเคี้ยวเนื้อไก่ย่าง


“อ้าว ไอ้เต๋อ มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ เล่นกับหมาเหรอ” ไม้ในชุดบาสเกตบอลโผล่มาขัดจังหวะพอดี “ไปเล่นบาสกับกูสิเดี๋ยวจะสอนต่อจากเมื่อวาน วันนี้ซ้อมเลย์อัพนะ”


“เอาสิ. . . งั้นฉันไปก่อนนะไอ้หมาน้อย” เต๋อลุกถอดเสื้อนักเรียนเหลือเพียงเสื้อยืดด้านในให้ทะมัดทะแมงเหมาะกับเล่นกีฬา

สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เต๋อระบายความเครียดได้อยู่บ้างก็คือกีฬาบาสเก็ตบอลไม้สอนเทคนิคบาสให้เต๋อติดตัวไว้เขาเน้นย้ำอยู่เสมอว่าเต๋อควรจะมีทักษะกีฬาติดตัวไว้บ้างเพื่อไม่ให้ดูอ่อนแอและเข้าสังคมได้แม้สังคมที่นี่อาจบรมห่วยสำหรับเต๋อแต่เมื่อวันใดที่เต๋อย้ายไปอยู่โรงเรียนอื่นแล้ว ความสามารถนี้จะเป็นทุนให้เขามีทักษะสังคมที่ดีหาเพื่อนใหม่และเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ง่าย เต๋อเอาจริงเอาจังกับการซ้อมนี้มากส่วนหนึ่งเป็นเพราะเชื่อในคำพูดของไม้แต่อีกส่วนที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือเขารู้สึกสบายใจและอบอุ่นที่เมื่อยามได้อยู่ใกล้ไม้

จะอย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปได้ไม่นานนักหลังจากไม้ขึ้นรับตำแหน่งจตุรเทพโพดำประจำรุ่น 40 ด้วยเหตุผลว่าเป็นมีความสุขุมและเปี่ยมบารมีเชื่อถือได้ สามารถปกครองนักเรียนหมู่มากได้ดีที่สุดจากนั้นเขาก็ต้องผันตัวไปเป็นผู้ดำเนินกิจต่าง ๆ ทั้งงานหลวงงานราษฎร์ตั้งแต่งานภายในเช่นจัดกีฬาสีหรือกิจกรรมออกร้าน ไปจนถึงงานภายนอกเช่นเป็นตัวตั้งตัวตีรวมกลุ่มตระเวนราตรี ค้างคืนตามที่ต่าง ๆอาจดูเป็นเรื่องธรรมดาสามัญสำหรับคนที่โตแล้ว แต่สำหรับเด็กวัยมอสามการแหกกฎโรงเรียนและกฎที่บ้านนั้นล้วนเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความกล้าบ้าบิ่นนอกจากนี้ยังมีการวางแผนกลั่นแกล้งครูที่นักเรียนลงความเห็นว่าเหม็นขี้หน้าจนไม่สามารถอยู่ในโรงเรียนต่อไปได้ไปจนถึงไกล่เกลี่ยตัดสินข้อพิพาทกรณีชกต่อยกันระหว่างโรงเรียน


เมื่อมีเรื่องที่ต้องทำเพิ่มขึ้นมากมายขนาดนี้เวลาที่มีให้เต๋อจึงหรอยหรอลง นอกจากภูมิที่บ้าคลั่งกับส่งผลงานประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ประหลาดๆ แล้ว เต๋อก็มีเพียงลูกหมานิรนามเท่านั้นที่คอยอยู่เป็นเพื่อนหลังเลิกเรียน


เมื่อตกเย็นเต๋อจะนั่งมองแป้นบาสอย่างเหม่อลอยเฝ้าคอยว่าไม้จะมาหาเมื่อไหร่ แม้บางครั้งจะหัดชู้ตบาสเองคนเดียวแต่ก็ให้ความรู้สึกไม่เหมือนเก่าก่อน


บางครั้งพิษเหงากัดกร่อนลึกในใจจนน้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ คนเดียวลูกหมาสีน้ำตาลได้แต่ครางงี๊ด ๆ กระดิกหางปลอบใจ แม้ว่าจะช่วยอะไรไม่ได้มากก็ตาม
เมื่อความคับคั่งใจสั่งสมจนยากจะเก็บซ่อนไว้ในที่สุดวันหนึ่งก็ต้องเปิดเผย
เต๋อดักรอพบไม้ในห้องน้ำ. . . เขาเปิดฉากตัดพ้อ


“ไม้ ช่วงนี้ยุ่งมากเลยเหรอ ไหนเคยสัญญาว่าจะมาซ้อมเพิ่มให้ไง”


“. . . .”


“ดีใจด้วยนะ เป็นโพดำแล้ว เหมือนเป็นฮีโร่ประจำรุ่นเลย”


“ขอบใจ. . .” ไม้แก้เก้อด้วยการทำเป็นส่องกระจก


“ไม้ไม่มีอะไรจะพูดกับผมเลยเหรอ”


เสียงตอบรับคือความเงียบ


“ผมทำอะไรให้ไม้ไม่สบายใจ. . .” แล้วไม้ก็แทรกขึ้นมาทันที“เมื่อไหร่มึงจะเลิกเซ้าซี้คนอื่นวะ!”
.
.
เต๋อหลบตา
.
.
“กูไม่ชอบให้ใครมาเซ้าซี้อย่างนี้นะเว้ย!ไม่มีเพื่อนเล่นมึงก็ไปหาเล่นที่อื่น ไม่ก็ไปหาอย่างอื่นทำดิ!”
.
.
“ถามจริง! ขาดกูแล้วลงแดงรึไง? นี่ถ้ากูตายมึงจะฆ่าตัวตายตามไหมเนี่ยทำไมมึงเป็นแบบนี้วะ”
.
.
เนื้อตัวของเต๋อชาและสั่นเทาความรู้สึกเย็นเฉียบไหลเวียนไปมาในร่างจนหายใจไม่ทั่วท้อง


“เพราะเราชอบไม้”
.
.
.
.

“โว้ยยยยยยยยยยยย! บอกรักกันแล้วโว้ย!” กลุ่มเพื่อนผู้ชายที่แอบฟังอยู่ข้างห้องน้ำเผยตัวออกมาด้วยเสียงอันดัง

“กูชนะ เอามาเลยร้อยนึง บอกแล้วว่าไอ้เต๋อแม่งจิต ตุ๊ดแหง ๆ”แจ็คแบมือทวงเงินจากเพื่อนที่แพ้พนัน


“ไอ้แจ็ค มึงน่ะเสือกเสียงดังขึ้นมาก่อนยังไม่ทันรู้เลยว่าตกลงไอ้ไม้ตอบรับมันมั้ย” เพื่อนอีกคนแย้งท่ามกลางเสียงผิวปากโห่ร้องลิงทะโมน


“นี่พวกมึงเล่นไรกันวะ” ไม้เขม็งใส่ให้รู้ว่าไม่ใช่เรื่องตลก


“ก็กูเห็นมึงสองคนแอบมานัดทำไรกันในห้องน้ำ พากันมาโม้คควยเปล่าวะ”เพื่อนคนหนึ่งตอบ


“เขาจู๋จี๋ซ้อมบาสด้วยกันนานแล้วโว้ย ตกข่าวแล้วพวกมึง”


“จตุรเทพเกย์คนแรกถือกำเนิดขึ้นแล้ว”


“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ”
.
.
.
.
“ปัญญาอ่อน!” ไม้เตะอัดเข้ากลางท้องเต๋อ “โอ๊ย!” บอกไม่ได้ว่าคำสบถของไม้หรือเสียงร้องจากเต๋อกันแน่ที่ทุกให้พวกผู้ชายสะดุ้งเงียบ


“อย่างกูเนี่ยนะจะชอบมัน! ไอ้หนอนพยาธิอ่อนแอ!เก่งจริงมึงลุกขึ้นมาต่อยกูคืนเลย!” ไม้ระดมตีนใส่เต๋อเต็มเหนี่ยวขณะที่อีกฝ่ายทำได้เพียงห่อตัวป้องปิดใบหน้าและจุดสำคัญ


“ถ้าโลกนี้มันโหดร้ายจนใช้ชีวิตลำบากนักละก็! มึงไปตายซะไป๊!”


แจ็คมองเต๋อที่ดิ้นพราดไปมาอย่างหวาดหวั่นระคนสังเวชนี่เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูก็คงได้ ว่าไม้ไม่ใช่คนที่จะหลู่เกียรติกันได้ง่าย ๆ


“พวกมึงก็เหมือนกัน! อย่าล้อเล่นกับกูอย่างนี้อีก! กูเอาจริง!นอกจากไอ้แทนแล้วทั้งห้องใครจะต่อยชนะกูได้!” ไม้ตาขวาง “หรือมึงจะเอา?” เขาจ้องไปทางแจ็ค


“เห้ย แหย่เล่นนิดเดียวน่า เพื่อนกันทั้งนั้น” แจ็คเข้าไปตบไหล่ปลอบให้ไม้ใจเย็น “เดี๋ยวเอาตังค์ที่ได้เลี้ยงเบียร์ขวดนึงหายกันเนอะ?”


“สัตว์!” ไม้ปัดมือแจ็คออกแล้วเดินออกจากห้องน้ำก่อนพ้นประตูเขาทิ้งข้อความกับเต๋อที่แน่นิ่งไม่ปริปากใด ๆ


“อย่ามายุ่งกับกูอีก กูเกลียดคนอ่อนแอ”
.
.
หลังจากนั้นเต๋อก็หัดบาสคนเดียวมาตลอดมีคนให้กำลังใจบ้างก็เพียงลูกหมานิรนามที่เฝ้าอยู่เป็นเพื่อนและทิพย์ที่แวะมาส่งน้ำให้เป็นครั้งคราว
.
.
“ฉันขอแม่ได้แล้วนะ ถ้าจบจากที่นี่เมื่อไหร่ฉันจะย้ายบ้านย้ายโรงเรียน แล้วจะเอาแกไปอยู่ด้วย” เต๋ออุ้มลูกหมาขึ้นมาเล่น“ถึงตอนนั้นจะตั้งชื่อให้นะ. . .รอก่อนล่ะ”
.
.
.
วันคืนอันโหดนรกผ่านไปวันแล้ววันเล่าเต๋อตั้งตารอคอยเวลาที่จะได้เริ่มชีวิตใหม่ อาจกล่าวได้ว่า ยังมีลมหายใจอยู่เพื่อให้วันนั้นมาถึงแค่นั้นจริงอยู่อาจเป็นการตัดสินใจผิดพลาดของทิพย์ที่ดันทุรังให้ลูกชายได้เข้าศึกษาในโรงเรียนที่พรั่งพร้อมเกินฐานะจนกระทั่งประสบปัญหาภาษีสังคมและการกลั่นแกล้งต่าง ๆ แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอแม้แต่ละวันคืนของลูกชายจะผ่านพ้นไปอย่างทุลักทุเลการเรียนการสอนที่ทันสมัยของโรงเรียนนี้หล่อหลอมให้เต๋อฉลาดอ่านออกเขียนคล่องเกินกว่าเด็กข้างบ้านที่มีฐานะใกล้เคียงกันเขาเริ่มทำความเข้าใจกับคำอธิบายที่ซับซ้อนเป็นนามธรรมได้หนังสือในห้องสมุดที่เขาเลือกหยิบขึ้นมาอ่านเป็นพิเศษมักเป็นหนังสือที่เพื่อนวัยเดียวกันไม่ค่อยสนใจจำพวกจิตวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ และปรัชญาต่าง ๆนอกจากนี้แล้วก็ยังหัดเล่นบาสด้วยตัวเองต่อไปด้วยความเชื่อว่าจะทำให้เขาได้ระบายความเครียดที่สั่งสมอยู่ในใจผ่านกีฬาซึ่งก็ช่วยได้พอสมควร กลับบ้านกินอิ่มนอนหลับ
จนกระทั่งวันหนึ่ง


ในเวลาพลบค่ำวันศุกร์ หลังจากที่เต๋อซักซ้อมบาสเสร็จเขาได้ยินเสียงร้องหนึ่งซึ่งคุ้นเคยดี


“เอ๋งงงงงงงงงงงง”


ลูกหมา? เกิดอะไรขึ้น!?


.
.
เด็กหนุ่มเร่งรุดไปหาต้นเสียงซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลลูกหมานิรนามตกตะเกียกตะกายกลางบ่อน้ำลึกหลังโรงเรียนน่าแปลกที่ปกติลูกหมาตัวนี้จะไม่มาวิ่งเล่นบริเวณนี้เพราะมีแมวอ้วนเจ้าถิ่นห่วงเขตแดนยิ่งชีพไม่ยอมให้สัตว์ตัวเล็กกว่ามันเข้ามาเดินยุ่มย่ามจะอย่างไรก็ตามนี่คงไม่ใช่เวลามาขบคิดหาสาเหตุ


“เอ๋งงงงงงงงงงงงงงงง” เจ้าลูกหมาร้องขอความช่วยเหลือด้วยเสียงดังกังวาลแต่ช่วงเวลานี้แทบไม่เหลือใครอยู่ในโรงเรียนแล้วนอกจากยามหรือเจ้าหน้าที่บางคนซึ่งก็กระจายไปตามตำแหน่งต่าง ๆในโรงเรียนกว้างใหญ่เช่นนี้ต่อให้วิ่งตามหาก็ต้องใช้เวลา
เขาตัดสินใจวิ่งขึ้นสระว่ายน้ำเผื่อจะมีคนที่ว่ายน้ำอยู่และขอให้ช่วยได้ เพราะเต๋อว่ายน้ำไม่เป็น


โชคร้ายที่ไม่มีใครอยู่เลย แต่ภาวะคับขันเช่นนี้แสงเทียนย่อมเห็นเด่นชัดท่ามกลางความมืดสายตาเขาบังเอิญเหลือบเห็นห่วงยางชูชีพสำหรับที่มีคนใช้แล้วลืมเก็บพอดีถ้าเป็นอย่างนี้ก็อาจแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้
.
.
แต่. . .
.
.
“เผี๊ยะ!” มือที่กำลังจะเอื้อมหยิบอุปกรณ์ช่วยชีวิตถูกตีด้วยด้ามไม้ยาว


“จะเอาไปทำอะไร นี่ไม่ใช่ของชมรม” ไม้ดึงห่วงกลับมาไว้ในมือตนที่ว่าไม่ใช่ของชมรม ก็คือเป็นของส่วนตัวที่เขาใช้สอนเด็กว่ายน้ำ


“ของไม้เหรอ! ยืมหน่อย ลูกหมาตกบ่อน้ำ!”


“ทำไมมึงไม่ว่ายไปช่วยเองละ”


“เราว่ายน้ำไม่เป็น ขอยืมเถอะ หรือไม่ก็ไม้ลงไปช่วยก็ได้ ขอร้องละ!”


“มึงนี่มีปัญหาทุกอย่างกับชีวิตเหลือเกินนะหัดเอาตัวรอดโดยไม่ต้องรบกวนคนอื่นได้ไหม”


ยิ่งต่อล้อต่อเถียงนานเท่าไหร่ก็ดูจะไม่เป็นการดีสำหรับชีวิตที่รอความช่วยเหลือ“จะด่าจะชกเรายังไงก็ได้ ไปช่วยหมาก่อน ได้โปรดเถอะ!”เต๋อร้องไห้และพนมมือกราบไม้โดยอัตโนมัติ ชีวิตของเพื่อนตัวน้อยมีค่ากว่าการยึดติดศักดิ์ศรีนี้แต่ผิดคาด ไม้เป็นคนไม่ชอบเห็นอากัปกิริยาเรียกร้องความเห็นใจในวิธีทำนองนี้โดยเฉพาะหากผู้ชายเป็นคนทำให้ดูต่อหน้า


“ยังไม่เลิกทำตัวอ่อนแอให้คนเขาสมเพชอีกนะที่กูสอนมึงให้หัดกีฬาเนี่ยไม่ทำให้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้างเรอะ”


“ฮืออออ อย่าเพิ่งพูดเลย ช่วยหมาเราด้วย”


ไม้ก้มมองเต๋อที่หมอบแทบเท้าอย่างครุ่นคิด


“เอาสิ”
.
.
เขาปล่อยลมห่วงยางออกแล้วโยนทิ้งไว้ให้เต๋ออยากจะร้องลั่นแต่ก็พูดไม่ออกเมื่อเห็นห่วงค่อย ๆ ฟีบลงจนแบนราบและก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถเป่าคืนกลับสภาพเดิมได้ด้วยกำลังตนเองในเวลาอันสั้น


“คนอย่างมึงนี่มันเกิดมาเพื่อสร้างปัญหาจริง ๆ ว่ะหัดแก้เองซะบ้างนะ”

.
.
.
เมื่อเต๋อกลับไปจุดเดิมอีกครั้ง ไม่มีวี่แววของลูกหมาอีกแล้ว
.
.
เขาได้แต่หวังว่าคงจะมีใครสักคนผ่านมาเห็นและช่วยมันไว้ได้ทันท่วงที
.
.
.
.
.
คำตอบถูกเฉลยขึ้นในเช้าวันจันทร์
.
.
.
.
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!” ครูและนักเรียนมองเต๋อที่ตะโกนลั่นจนทุกคนต้องหันเป็นสายตาเดียว


ซากลูกหมาลอยอืดบวมเป่งชิดมุมบ่อน้ำมุมหนึ่งเสียงหวี่แมลงวันที่บินตอมร่างยิ่งตอกย้ำความสิ้นหวังหดหู่
.
.
“ปล่อยผม!!”


อารมณ์ขาดสติสั่งให้เต๋อตั้งท่าลุยลงบ่อทั้งที่ตัวเองก็ว่ายน้ำไม่เป็นครูวิไลและครูผู้ใหญ่อีกท่านช่วยกันรั้งตัวเต๋อไม่ให้ลงไปเก็บซากลูกหมาที่จริงหากเต๋อไม่พบก็ยังไม่มีใครสังเกตเพราะเป็นมุมอับสายตา


“ปล่อยผม ฮืออออออ!”


“ตั้งสติหน่อย! มันตายแล้ว เธอช่วยอะไรมันไม่ได้แล้ว! เดี๋ยวครูให้ภารโรงช้อนขึ้นมาให้”ครูวิไลกล่าว
.
.
ไม้ผ่านมาอยู่ในเหตุการณ์พอดีเนื่องจากสงสัยว่ามีคนมุงดูอะไรบางอย่างเนืองแน่น
.
.
ทันทีที่ทั้งสองพบเจอ เต๋อกัดฟันกรอดทั้งน้ำตาใช้นิ้วชี้ให้ไม้เห็นผลลัพธ์ของสิ่งที่เขาจงใจให้เกิดขึ้น
.
.
ดูเหมือนว่าไม้ก็เข้าใจดีว่าเต๋อรู้สึกอย่างไรกับเขาแต่ก็ไม่ใช่สาระสำคัญเพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตสำหรับไม้


“โธ่เอ้ย นึกว่าไร แค่หมาตัวเดียวทำเป็นเจ้าน้ำตา. . .”
.
.
“. . .คนอ่อนแอ”
.
.

ความรักครั้งแรกและสัตว์เลี้ยงตัวแรกปิดฉากลงพร้อมกัน
จริงอย่างที่ไม้พูดบางทีผมอาจจะเป็นคนอ่อนแอ

แต่คงไม่ใช่เพราะอารมณ์อ่อนไหวเปราะบาง ผมกระด้างขึ้นพอ ๆกับไม้น่ะแหละ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ


ความอ่อนแอที่ว่าหมายถึงตัวผมไม่สามารถละวางจากความพยาบาทได้ต่างหาก


และผมจะเดินหน้าต่อไป. . . จนกว่าจะล่าพวกมันครบทุกคน
.
.
.
“ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง!”


“ ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ!”


“ฉ่าง ฉ่าง ฉ่าง ฉ่าง !”
.
.
หืมห์. . . นี่มันเสียงบ้าที่ไหนอีกกระหึ่มจนหัวใจจะหลุดออกมาให้ได้ ผมอุตส่าห์อาฆาตคนในความฝันอยู่เพลิน ๆปาไปตีหนึ่งแล้วใครยังจะเฉลิมฉลองเฮลั่นจนผมต้องตื่นขึ้นมา
.
.
เสียงลำโพงชั้นดีกับมารยาทสังคมชั้นเลวแบบนี้ คงเป็นอื่นใดไม่ได้นอกจาก“หลังเดิม”
.
.
.
ผมเดินออกไปหน้าบ้านทั้งเสื้อกล้ามขาสั้นไปดูซิว่าเกินอะไรขึ้นกันแน่
.
.
เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทันทีแม่บ้านบัวยืนหน้าบอกบุญไม่รับในสภาพง่วงเหงาหาวนอน


“คุณเตอร์ก็นอนไม่หลับหรือคะ” เป็นคำถามที่ฟังดูแปลกๆ ถ้าหลับลึกแล้วจะมาสถิตอยู่ต่อหน้าเธอได้อย่างไรเอาเถอะมันก็คงเป็นการทักทายที่ไม่หวังคำตอบตามรูปคำถาม
.

“ปาร์ตี้กันอีกแล้วเหรอครับ”

“ใช่ค่ะ เลี้ยงสละโสด วันมะรืนจะแต่งกันแล้ว” เธอตอบพร้อมป้องปากหาว


บ้านถัดจากผมไปสองหลังเป็นของลูกชายผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง เขาอายุราวสามสิบแยกตัวจากครอบครัวใหญ่ออกมาทำธุรกิจของตัวเองตระกูลนี้จัดว่าร่ำรวยอยู่ทีเดียวเชียวแต่ความเกรงใจอันเป็นหนึ่งในคุณสมบัติผู้ดีคงใช้เงินซื้อกันไม่ได้จริง ๆทุกครั้งที่เขาพาแฟนสาว ชู้บ้านเล็กบ้านน้อยหรือเพื่อนฝูงมาจัดปาร์ตี้ริมสระหน้าบ้านก็จะเปิดเครื่องเสียงสนั่นลั่นซอยราวกับไซเรนเตือนให้หลบเครื่องบินทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกจะเข้าพิธีวิวาห์กันอยู่รอมร่อ แทนที่จะหากิจกรรมที่เป็นมงคลต่อชีวิตคู่กลับสร้างความเดือดร้อนแก่เพื่อนบ้านไม่สร่างซา


ผมใช้โทรจิตตรวจสอบรอบบริเวณ พบว่ามีอีกหลายชีวิตที่ยังนอนไม่หลับอาจเพราะไม่อยากมีเรื่องกับบ้านหลังนั้น หรือไม่ก็คิดว่าปล่อยไว้เดี๋ยวก็จบ ๆไปเอง.
.
.
จากการพูดคุยกันจึงทราบว่าคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายของแม่บ้านบัวยังคงไม่กลับจากธุระต่างประเทศซึ่งผมคิดว่านานขนาดนี้อาจจะเสียชีวิตทั้งคู่ไปแล้วก็ได้ อย่างไรก็ตามทำให้แม่บ้านบัวต้องรับภาระดูแลลูกชายของสามีภรรยาคู่นั้นซึ่งเด็กต้องไปโรงเรียนแต่เช้าแล้วต้องมาเผชิญกับมลภาวะทางเสียงกลางดึกขนาดนี้ย่อมไม่เป็นการดีแน่นอน
.
.
ผมตัดสินใจไปขอความร่วมมือให้บ้านนั้นเบาเสียงลดพร้อมกับน้าบัว


แต่เมื่อไปถึงก็พบว่ามีคนตัดหน้าก่อนแล้ว
.
.
คุณรปภ. นี่เองที่กำลังเจรจากับคนในบ้านหลังนั้นคงจะได้รับโทรศัพท์จากสมาชิกหมู่บ้านทั้งหลายให้ช่วยจัดการให้เรียบร้อยโดยที่ตัวเองขอซุกหัวหลบอยู่ในบ้านโยนภาระให้เป็นหนังหน้าไฟชัด ๆ
 
.
.
“โธ่พี่ ผมไม่ได้บอกว่าให้เลิก แต่ช่วยเบาเสียงหน่อย บ้านอื่น ๆเค้าบอกผมมา”


“ไหน! มึงพามาเลย ไอ้หน้าไหนสั่งกู! เดี๋ยวแม่งเจอเหนี่ยว! เอิ๊ก!”ชายเจ้าของบ้านสวมกางเกงขาสั้นตัวเดียวออกมายืนเอ็ดทั่วตัวแดงก่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ข้างในยังมีคนอีกเจ็ดแปดคนเมาเต้นกันอีรุงตุงนังข้างสระน้ำบ้างก็ลงไปแหวกว่ายแหกปากในสระเป็นที่สนุกสนาน ถ้ามองจากที่ไกล ๆคงนึกว่ากำลังจะจมน้ำตายและตะโกนขอความช่วยเหลือ


“วันเดียวเองทนไม่ได้รึไง! น้ำใจคนไทยไง! รู้จักป่าว!”


“เท่าที่ผมได้ยิน มันไม่ใช่น้อยนะครับ เดือนละสองสามหนได้” ในที่สุด ผมก็เข้าไปมีส่วนร่วม


“อ้าวเฮ้ย! ไอ้หนุ่ม! บ้านที่ขับบีเอ็มสีดำป่ะ เข้ามาดื่มกันก่อน!เอิ๊ก!” ตามประสาคนเมาเขากวาดมือเชิญให้เราเข้าไปภายในเมื่อต้อนวัวต้อนควาย แต่ไม่มีใครตอบรับ


“ขอบคุณครับ ขอรับไว้แต่น้ำใจ” ผมหงายฝ่ามือตั้งปฏิเสธ“หลายคนต้องไปทำงานแต่เช้านะครับ เด็ก ๆ ก็ต้องไปโรงเรียน”


“เฮ้ย เป็นเด็กเป็นเล็ก! มาสั่งสอนผู้ใหญ่ได้ไง!” เขาตวาด


“จะกินจะดื่มไม่ว่าหรอก แต่เบาเสียงลงหน่อยพ่อคู้นเอ็ดตะโรเป็นงานบวชงานโกนตามบ้านนอกไปได้” แม่บ้านบัวเสริม


“พวกมึงไสหัวกลับไปให้หมด! กูรำคาญ เดี๋ยวยิงไส้แตก!!”


“ผมมาเตือนกันเองดี ๆ นะครับคุณ ดีกว่าให้เพื่อนบ้านแจ้งตำรวจนะครับ”รปภกล่าวประโยคดังกล่าวเข้าหูแฟนสาวของเจ้าของบ้านและเธอตรงปรี่เอาเรื่องทันทีเธอยังอายุน้อยแต่งหน้าจัดจ้าน สวยแบบไร้ราศีเหมือนออหรี่คิดว่ารสนิยมทางสังคมคงไม่ห่างจากใบหน้าเท่าไหร่นัก


“อียามนี่มึงระวังตัวไว้!” เธอเอาเหล้าเหลือค่อนแก้วสาดหน้ารปภ“อย่ามาอวดดีอ้างตำรวจ มึงไม่รู้เหรอผัวกูลูกใคร” พูดไม่ทันขาดคำก็แสดงกิริยาต่ำดั่งที่คาดไว้ยามหนุ่มอยู่ในฐานะที่ต้องยอมอ่อนข้อแม้จะเป็นการหมิ่นเกียรติก็ตาม


“คนมีการศึกษาน่าจะพูดกันดี ๆ ได้นะคะ” แม่บ้านบัวกล่าว


“แหม! พูดยังกะพวกมึงมีการศึกษา คนใช้ ยาม อีกตัวยังไม่จบตรี กล้าพูดเนอะ!”หญิงสาวชี้กราดเรียงตัว


“แต่ดูแล้ว ผมว่าพวกเขาวางตัวและใช้คำพูดมีการศึกษากว่าคุณอีกนะ”ผมย้อนกลับ
“มึงอย่าลามปามแฟนกู!” ฝ่ายชายเอ่ย


“มึงรู้ไหมกูลูกใคร!!”


“เรากลับกันก่อนเถอะครับ” รปภหนุ่มแอบสะกิดให้ผมถอยทัพแต่ผมไม่สน


“ลูกใครก็ไม่อาจทราบได้ครับ รู้แต่ว่าน่าเศร้ามากที่อายุขนาดนี้ยังไม่สามารถพึ่งพาตนเพื่อปกป้องตัวเองได้”


“ไอ้เหี้ย!” ชายหนุ่มโกรธคลั่งพุ่งเข้าชกแต่ผมเอี้ยวหลบอย่างง่ายดายทำให้เขาล้มกระแทกพื้น


เพื่อนในกลุ่มชักรำคาญที่การเจรจาไม่สิ้นสุดเสียทีเดินตุปัดตุเป๋หอบสังขารเมากริ่มเข้าร่วมวงวิวาทะด้วย


“เอาปืนมาอวดแม่งดิ!” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่าที่เจ้าบ่าวเดินหายไปในบ้านชั่วครู่


“คุณเตอร์คะ น้ากลัวค่ะ กลับบ้านใครบ้านมันกันดีกว่า” น้าบัวพลอยวิตกจริตไปอีกคนใจจริงอยากเผยความสามารถให้เห็นกันโจ่งแจ้งไปเลย เธอจะได้สบายใจว่าเลือกยืนข้างผมยังไงก็เป็นฝ่ายชนะกองทัพขี้เมานี่จะทำอะไรผมได้


“ไอ้สัตว์! เกะกะบ้านคนอื่น กลับไป๊!”


“คนจะมันส์กันอย่าเสือก!”


“เดี๋ยวรอปืนมาก่อนเถอะมึง” ว่าที่เจ้าสาวชี้ขู่และไม่นานนักหนุ่มเจ้าของบ้านขี้เมาก็ออกมาพร้อมปืน
.
.
.
“ไหน! ใครจะปากดีอีก!” แม่บ้านบัววิ่งหนีเตลิดไปแล้วส่วนรปภพยายามเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายใจเย็นลง
.
.
.
“กูฆ่าคนไม่ติดคุก! มึงจะลองมั้ย!” เพื่อนบ้านเจ้าอารมณ์หันลำกล้องมาตรงหน้าเต๋อทว่าก็ไม่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามมีแสดงอาการร้องขอชีวิตหรือแสดงอาการลุกลี้ลุลนให้เห็นแต่อย่างใด
.
.
.
เต๋อมองหน้าผู้ร่วมปาร์ตี้ฝ่ายอริ
.
.
“หนึ่ง”
.

“สอง”เขานับจำนวนและจดจำใบหน้าไล่ทีละคน

“สาม . . . สี่ . . . ห้า”


“นับหาพ่อมึงเหรอ! นับเหี้ยอะไร!” ใครคนหนึ่งด่าถามด้วยความหงุดหงิด


“หก เจ็ด . . .”
.
.
“กูถามว่ามึงนับอะไร!!”


ชายหนุ่มไม่แยแสแม้จะอีกฝ่ายพร้อมเหนี่ยวไกได้ตลอดเวลา


“แปด. . .”
.
.
“เอาละ. . .ผมจำพวกคุณได้หมดแล้ว. . .” เต๋อหันหลังกลับและสะกดจิตให้รปภที่อยู่ด้วยเลิกสนใจเช่นกันกลุ่มนักดื่มเจ้าสำราญต่างฉงนที่ฝ่ายตรงข้ามบทจะจบก็จบเอาดื้อ ๆ


แต่แล้วก็มีคนหนึ่งจุดประเด็นขึ้นมาแหวกวงเงียบ


“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน กลับบ้านมึงไปเลย!” ได้ยินดังนั้นคนที่เหลือจึงพากันโห่ไล่ไสส่งเต๋อและรปภ

“ควย!นึกว่าจะแน่! แม่งป๊อด”
“กลัวจนเยี่ยวราดเลยมั้งฮ่า ๆ ๆ”

กลุ่มชายหญิงเจ้าสำราญทะนงตนว่าเป็นผู้กุมชัยชนะจริงอยู่ท่าทีของเต๋อนั้นคนทั่วไปคงตีความว่าเป็นหนีเพื่อรักษาชีวิต
.
.
.
.
ที่ความจริงยิ่งกว่านั้นคือเขาได้หมายหัวเหยื่อเรียงตัวไว้แล้ว

.
.
“อวยพรให้งานแต่งเป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตคุณนะครับรวมถึงเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวด้วย” เต๋อกล่าวไว้เช่นนั้นก่อนเดินลับสายตาไปท่ามกลางเสียงโห่ฮาและร้องรำทำเพลงอย่างไม่แยแส


สองวันให้หลัง
.
ในห้องนั่งเล่น ณัฐกำลังใช้หลับตาเพ่งนิมิตจนคิ้วแทบชนกันไม่ใช่ว่าเห็นภาพเหตุการณ์ไม่ชัด แต่เพราะมันชัดเกินไปนี่เองณัฐจึงต้องแสร้งทำเป็นว่ากำลังยังใช้พลังอยู่ความคิดภายในใจหลังจากที่ได้เห็นภาพเต๋อแขนขาหักเนื่องด้วยมีปากเสียงปะทะกับธนิกอีกครั้งทำให้เขากำลังคิดอยู่ว่า “ควร”จะพูดสิ่งใดออกไปจึงจะเป็นผลดีที่สุดขณะที่มีนนั่งประสานมือราวกับภาวนาอะไรสักอย่างต่อพระผู้เป็นเจ้าส่วนธนิกกระวนกระวายเดินวนรอบห้องเหมือนรอฟังผลผ่าตัดญาติก็ไม่ปานทั้งสองวานให้ณัฐอ่านเหตุการณ์เพื่อให้แน่ใจว่าการเดินทางไปเอาของคืนถึงหมู่บ้านเต๋อนั้นเจ้าบ้านจะไม่ซ่อนลูกเล่นไว้ซุ่มโจมตีคงมีแต่ทางนี้เท่านั้นเพราะโทรไปก็ไม่มีคนรับสาย


“นานไปแล้วนะเฮ้ย เห็นอะไรบ้างฮึ” ธนิกสะกิดให้ณัฐออกจากนิมิตซึ่งณัฐเองก็รู้ดีว่าวิธีนี้ถ่วงเวลาได้ไม่นานเท่าไหร่หากมีธนิกรออยู่เขาไม่ชอบรอและใจร้อนเป็นที่หนึ่ง
.
.

เด็กหนุ่มแกล้งลืมตาตื่นช้า ๆ

“ไหนเธอช่วยตอบทีถ้าพี่กับพี่นิกไปถามหามือถือจะมีเกิดอะไรขึ้นบ้าง. . .” มีนถาม


ในสภาพกดดันเช่นนี้ ณัฐรู้สึกน้ำท่วมปาก ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงเต๋อแต่มันคือความสับสนคำพูดที่ออกจากปากเขาต่อหน้าบุคคลผู้เกี่ยวข้องย่อมมีส่งผลกระทบต่ออนาคตที่จะเกิดขึ้นซึ่งขณะนี้คือจะเกิดการทะเลาะลงไม้ลงมือกันอีกครั้งและคราวนี้เต๋อจะบาดเจ็บสาหัสจะอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ณัฐหาไม่ปราถนาดีหรือฝักใฝ่ฝ่ายใดเป็นพิเศษเขาเองก็มีสิ่งที่ซ่อนเร้นภายในใจ


เมื่อเห็นธนิกหงุดหงิดจนน้ำในตู้ปลากระเพื่อมไปมาเขาจึงเอ่ยปากขึ้นในที่สุด


“ไม่มีอะไรร้ายแรงครับ. . .แต่ถ้าพวกพี่ไปกันเอง อืม. ..ขากลับรถจะยางแตกครับ เอ่อ. . .ไปเหยียบอะไรเข้าก็ไม่รู้” แน่นอนว่าเป็นอุบายที่กุขึ้นสดๆ ร้อน ๆ


ธนิกทำหน้าไม่สบอารมณ์และถามต่อ “ถนนสายไหนล่ะจะได้เลี่ยง”


“ผมไม่ทราบครับ มองไม่ออกเลย”
.
.
“เวรกรรม. . . ทั้งเบอร์ติดต่อทั้งข้อมูลที่อยู่ในมือถือพี่มีแต่เรื่องสำคัญทั้งนั้นเลยนะ” มีนก่ายหน้าผากเมื่อเข้าใจว่าความยุ่งยากจะเกิดขึ้นซ้ำซ้อน
.
.
ณัฐสบตาพี่ ๆ เพื่อหยั่งเชิง เมื่อเห็นว่าทั้งสองปักใจเชื่อแล้วจึงค่อย ๆ รวบรวมความกล้าออกอุบายต่อไป


“เอ่อ. . .ให้ผมไปเอง .ดีไหมครับ”
.
.
“พูดเป็นเล่น” ธนิกรู้สึกเหมือนณัฐเป็นวัวที่อยากเข้าไปเดินเล่นในโรงฆ่าสัตว์
.
.
“เอ่อ. . .ผมมั่นใจว่า. . .ทุกอย่างต้องเรียบร้อยครับ. . .คือว่า. ..ผมก็อ่านเหตุการณ์ล่วงหน้าเช็คความปลอดภัยให้ตัวเองได้เรื่อย ๆ อยู่แล้ว” เด็กหนุ่มเสนอตัวอย่างระมัดระวังไม่ให้อีกฝ่ายจับพิรุธได้ว่ากำลังตั้งใจเปลี่ยนอนาคตที่แท้จริงเพื่อหวังผลบางอย่างหากทำได้แนบเนียนละก็จะไม่มีใครจับผิดได้เลยเพราะคนที่เห็นภาพนิมิตได้มีเพียงเขาเท่านั้น
.
.
“เราตัวคนเดียวจะไหวเหรอ จำได้รึเปล่าว่าเขาคุมคนได้ทีละเป็นสิบ ๆ”มีนเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ช่วยเธอได้ แต่ก็เป็นห่วงน้องอยู่เช่นกัน
.
.
“เรื่องนั้น. . .ผมทราบครับ. . .อืม แต่คิดว่าอย่างน้อย. ..พี่เขาคงไม่คิดจะทำร้ายคนที่เคยอ่านอนาคตเพื่อช่วยชีวิตเขาหรอกครับ”


ได้ยินดังนั้นมีนจึงนึกได้ว่าเต๋อก็เคยพูดทำนองว่าจะสะกดจิตคนตอบแทนณัฐเพราะไม่อยากติดค้างบุญคุณจึงเป็นไปได้ว่าหากณัฐเป็นคนกลางล่ะก็ ภารกิจนี้อาจลุล่วงง่ายกว่าที่คิด


“จริงสินะ เธอพูดถูก เต๋อก็คิดแบบนั้นอยู่แล้ว”


“พี่มีนพูดอะไรน่ะครับ” ธนิกหันขวับดูเหมือนมีนจะลืมไปว่าเธอควรปกปิดเรื่องที่ไปพบเต๋อเป็นการส่วนตัว


“อ๋อ. . . พี่หมายถึงที่ณัฐพูดมาก็ฟังขึ้นน่ะยังไงก็ต้องเกรงใจกันบ้างแหละ” เธอรีบตัดบทและสรุปจบโดยไว
.
.
“งานนี้คงไม่ต้องรบกวนเธอแล้วละนิก พี่ว่าณัฐคนเดียวก็เอาอยู่”
.
.
“เอางั้นเรอะ. . .” ธนิกมองณัฐเกาหัวยิ้มหน้าเจื่อนท่าทางไม่เชื่อมือเท่าไหร่นัก กระนั้นก็อาจจะดีที่น้องชายได้เรียนรู้วิธีพบปะเจรจากับผู้อื่นเสียบ้างโดยเฉพาะกับคนอันตรายอย่างเต๋อหากทำสำเร็จก็นับว่าณัฐได้เรียนรู้การเป็นผู้ใหญ่ไปอีกก้าวหนึ่งซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
.
.
“งั้นก็ได้ แล้วอย่าเปลี่ยนใจทีหลังละครับ ผมไปก่อนล่ะ” เขากระดิกนิ้วเรียกกุญแจรถบนโต๊ะลอยกลับสู่ฝ่ามือแล้วเดินออกจากห้องไป
.
.
.
.
เมื่อธนิกพ้นจากวงสนทนา ณัฐคลายอาการเกร็งลงรู้สึกโล่งใจที่ทุกอย่างเข้าที่ทางตามที่ตนคิดไว้


“ฝากด้วยนะณัฐ อย่าลืมล่ะว่า ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลโทรหาพี่นิกทันทีรู้มั้ย” มีนกำชับ


“ครับ” ณัฐรับคำ และต่อมาก็เหมือนจะนึกสิ่งที่ใคร่ถามขึ้นมาได้


“เอ่อ. . .พี่มีนครับ . . . ระหว่างพี่นิกกับพี่เต๋อพี่ว่าใครน่ากลัวกว่ากันครับ”
 
.
.
เป็นคำถามที่มีนเองก็ไม่เคยเอะใจมาก่อนเช่นกันกระนั้นก็แสดงความเห็นกลับไป
.
.
“ถ้าถามว่าใครน่ากลัวกว่ากัน. . . พี่ตอบไม่ได้หรอกถ้าสมมติเธอทำให้นิกโกรธ เขาจะเป็นศัตรูของเธอคนเดียวและจะเล่นงานเธอจนถึงที่สุดไม่หัวร้างข้างแตกก็พิกลพิการ หรือไม่ก็อาจถึงตาย. . . ถ้าเป็นเต๋อ. . .เธอจะยังมีชีวิตและอวัยวะอยู่ครบ. . .แต่. . .
.
.
.
. . .คนทั้งโลกจะเป็นศัตรูกับเธอ”
.
.
.

เด็กหนุ่มพยักหน้า ความเห็นจากมีนช่วยชี้คำตอบที่เหมาะสมกับตัวเขาที่สุดบัดนี้ณัฐตัดสินใจได้แล้วว่าจะต้องเดินหน้าต่อไปทางไหน
.
.
.
แสงแดดยามบ่ายทอประกายสว่างจ้า ณัฐนั่งสงบใจอยู่ในห้องตามลำพังตาจ้องไปที่โทรศัพท์อย่างครุ่นพินิจหลังจากมีนเล่าความลับที่ให้ฟะงด้วยความไว้ใจว่าเธอไปพบกับเต๋อมาก่อนหน้านี้ ไม่ได้ไปแอบสอดแนมตามที่บอกกับธนิกจะว่าไปก็น่าตลกที่ธนิกนั้นน่ากลัวจนคนรอบข้างต้องโกหกเอาตัวรอดกันไปหมดอย่างไรก็ตาม เขาคิดว่าน่าจะลองต่อสายอีกสักครั้งก่อนการเข้าไปหาเต๋อถึงที่แบบขาดพิธีรีตองควรจะเป็นทางเลือกสุดท้ายเพราะเต๋อท่าทางจะไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับชีวิต


ณัฐสูดลมหายใจลึก
.
.
“เอาวะ. . .” ในที่สุดก็กดต่อสายไปจนได้
.
.
เสียงรอสายกับเสียงใจเต้นสั่นแทบจะเต้นเป็นจังหวะเดียวกันณัฐรู้สึกตื่นเต้นจนปวดฉี่ขึ้นมาทันใด
.
.
“สวัสดีครับ” ปลายสายรับในที่สุด
.
.
“หวัดดีครับ. . .พี่. . .เต๋อรึเปล่าครับ. . . เอ่อ. . .ผมณัฐนะครับจำได้ไหม”
.
.
“ก็เกือบจะจำไม่ได้หรอกครับถ้าไม่โชว์ชื่อคนโทรเข้ามาแต่ช่างมันเถอะครับ. . .ณัฐน้องธนิกใช่ไหม ที่เจอกันวันที่พี่นอนแอ้งแม่งริมสระ”แม้แต่เต๋อยิงมุกจิกกัด แต่ณัฐก็ยังโล่งอกที่ยอมคุยด้วย
.
.
“เอ่อ. . .โทรศัพท์นั่น. . .อยู่กับพี่สินะครับ”
 
.
.
“ครับ. . . พี่เขาทำตกไว้แถวหน้าบ้านพี่ขอโทษที่ไม่ได้รับสายเพราะพี่ไม่ค่อยอยู่บ้าน วุ่นทั้งงานราษฎร์งานหลวงเงินก็ต้องหา ลูกหนี้ก็ต้องตามล่า ฮะ ๆ” เต๋อพูดอย่างหน้าตายไหน ๆ ก็ ไหน ๆ แล้วคงไม่ต้องทำไขสือทำเป็นว่าอีกฝ่ายไร้เดียงสา ให้มันรู้กันไปเลยว่าไผเป็นไผณัฐแอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย
.
.
“ฝากขอโทษพี่มีนด้วยนะที่พี่เคยเสียมารยาทกับเธออีกเดี๋ยวพี่จะออกไปทำธุระข้างนอก กว่าจะกลับคงค่ำเลยล่ะถ้ายังไงพี่ขอส่งคืนวันพรุ่งนี้ได้ไหมครับ”
.
.
“ได้ครับ. . .แล้วแต่พี่สะดวกเลยครับ”
.
.
“จริงสินะ เราเคยช่วยพี่ให้พ้นจากอุบัติเหตุนี่นา ขอบคุณมากครับ”เต๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่ากลั่นจากใจจริงหรือมีสิ่งใดแอบแฝงและแม้ณัฐอยากจะบอกว่าไปขอบคุณธนิกเถอะแต่ก็พูดไม่ได้ก็คนที่ช่วยชีวิตเต๋อกับเกือบเอาชีวิตไปเป็นคนคนเดียวกัน
.
.
“แหะ ๆ ก็ว่าไปตามที่เห็นครับ. . . อืม. ..พี่มีนจำเป็นต้องใช้มือถือด่วนน่ะครับ. . .เอ่อ. . .ถ้าเป็นพรุ่งนี้ก็โอเคครับ”


“ครับ ไม่มีปัญหา จริงสิ. . .เดี๋ยวพี่ต้องออกไปทำธุระแล้วครับไว้คุยนัดวันเวลากันทีหลังได้ไหมครับ” เต๋อกล่าว
.
.
“ครับ” ณัฐรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ยังไม่สามารถเข้าเรื่องอยากพูดที่แท้จริงได้แต่กระนั้นก็อยากจะทิ้งท้ายอะไรบางอย่างให้อีกฝ่ายได้นึกถึงความสามารถของเขา
.
.
“เอ่อ. . .พี่ครับ. . .พก. . .ร่มไปด้วยนะครับ วันนี้พี่ต้องใช้”
.

เต๋อกระแอมหัวเราะ “ตอนนี้ไม่ใช่หน้าฝนสักหน่อยหรือว่าพกร่มหมายถึงอย่างอื่นกันนะ. . .” เมื่อเห็นอีกฝ่ายอารมณ์ดีคุยง่ายกว่าที่คิดณัฐจึงเล่นบ้าง
.
.
“นั่นสินะ. . .ร่มแบบไหนกัน. . .อืม. . .พี่ลองเล่นเกมกับผมหน่อยไหมครับ”


“น่าสนใจ ว่ามาสิครับ” เต๋อรับคำท้า


“ผมให้เลือกได้อย่างเดียว ห้ามโกงนะครับเลือกร่มที่พี่คิดว่าตรงกับคำบอกใบ้ของผมไปได้อย่างเดียว แต่ถ้าเลือกผิดพี่จะลำบากนะครับ”
.
.
“ได้เลยครับ พี่สัญญา” เขาตอบรับสั้น ๆ
.
.
“เอ่อ. . . อีกอย่างหนึ่งครับ. . . ขอเบอร์ติดต่อของพี่ได้ไหมครับ.. .ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ”
.

นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากใจเต๋อนึกเสียดายเหมือนกันที่อ่านใจเด็กคนนี้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนกันแน่เขาเป็นคนขี้ระแวงโดยสัญชาตญาณ แต่อย่างไรก็ตามในความไม่ชอบมาพากลนี้เขากลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างน่าลุ้นหาคำตอบและหากอีกทางเกิดสับปลับขึ้นมาก็มั่นใจว่าจะไหวตัวทัน
.
.
.
“เอาสิครับ พี่ให้ณัฐรู้คนเดียวนะ สัญญาก่อน”


“ครับ สัญญา ๆ” ณัฐเริ่มมีความหวังเขยิบขึ้นอีกนิดเมื่ออีกฝ่ายมีท่าทีเปิดรับมากขึ้นไปอีก


และหลังจากคุยกันเรียบร้อยแล้ว เต๋อก็ขอตัววางสายไป
.
.
เขายืนลูบคางอย่างพิจารณา นี่ไม่ใช่ช่วงหน้าฝนหรือมีมรสุมเข้าณัฐอาจจะไม่ได้หมายถึงร่มกันฝน แต่ร่มในคำใบ้อาจหมายถึงถุงยางซึ่งน่าจะเป็นไปได้มากกว่าเพราะเขาคลุกคลีอยู่กับการล้างแค้นคนด้วยการให้แสดงออกทางกามารมณ์อย่างอุกอาจมานักต่อนัก
.
.
.
จะอย่างไรก็ตามแม้เป็นเกมที่น่าสนใจแต่เขาก็ไม่มีเวลาวิเคราะห์ให้มากความนัก เต๋อตัดสินใจเลือก “ร่ม” ที่คิดว่า “ใช่” เพียงหนึ่งชิ้นตามคำสัญญา เขาขยับไทค์ให้เข้าปกคอชุดสูทแล้วเสร็จจึงบึ่งรถบีเอ็มสีดำทมิฬคู่ใจ
 
.
.
.
.
มุ่งสู่งานสมรสของเพื่อนบ้านไร้การอบรมซึ่งเขาคิดว่าอยู่ร่วมโลกด้วยกันไม่ได้อีกต่อไป
.
.
.
จบตอนที่ 17 เกมของณัฐ



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++